วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

หางวาตภัย

สมัยเด็ก ๆ  ฉันค่อนข้างหัวรั้นและเอาแต่ใจตนเอง เมื่อถูกใครเขาดุด่าก็มักจะน้อยอกน้อยใจจนหน้าคว่ำหน้างอราวกับ เด็กผู้หญิง  โดยเฉพาะกับพ่อ เพราะคิดว่าพ่อรักน้องสาวมากกว่า   ทั้ง ๆ ที่พ่อเป็นคนใจดี รักครอบครัวและญาติมิตรเป็นที่หนึ่ง
ต่อเมื่อฉันเติบโตและได้ย้อนกลับไปคิดใคร่ครวญเสียใหม่  ก็พบว่า  นอกจากพ่อจะเป็นคนที่มีน้ำจิตน้ำใจสำหรับทุก ๆ คนแล้ว พ่อของฉันก็ยังเป็นคนร่าเริง  อ่อนไหว  รักและชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ   ซึ่งประจักษ์แก่ฉันมาแล้วเมื่อครั้งอดีตที่ฉันยังเยาว์ ์วัย    และฉันยังจำไม่ลืม

       ในสมัยนั้นเมื่อมีง านลงแขกเก็บเกี่ยวข้าวในไร่นา   พอเสร็จจากงานพ่อกับเพื่อน ๆ ก็มักจะตั้งวงดื่มน้ำขาวสนุกสนานเฮฮาแก้เหนื่อยกันเป็นประจำ

   อันว่าน้ำขาว หรือกระแช่ นั้น พ่อของฉันหมักขึ้นเองด้วยน้ำหวานของต้นชกกับเปลือกไม้เคี่ยม ซึ่งได้มาจากป่า 

               หมักไว้เป็นโอ่ง  ไม่ขาดบ้าน  สรรพคุณก็เลื่องลือ...

ทุกครั้งที่พวกเขาตั้งวงน้ำขาว   เมื่อดีกรีของมันออกฤทธิ์ได้ที่ก็มักจะชวนกันขับร้องฟ้อนรำเพลงรองแง็ง หรือไม่ก็ขับบทลิเกป่า   ตีรำมะนา   ตีทับ   เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง

         “ตันย่ง ตันย้ง กำปงลาน้อง เจ้าชู้ดอกแก้ว
ถ้าน้องไม่รักพี่บังแล้ว พี่บังไม่แคล้วต้องกินยาตาย...(สร้อย)
บังหลับตาไม่ลง พะวักพะวง ใจคว่ำ ใจหาย

พี่บังไม่แคล้วกินยาตาย ถ้าไม่ได้น้องสาวมาทำเมีย...(สร้อย)

เพื่อนของพ่อ ชื่อ ตาหนวง เมื่อถูกดีกรีน้ำขาวแผลงฤทธิ์  ก็จะต้องลุกขึ้นรำป้อเสียทุกที   ตัวแกเล็กนิดเดียว  แต่ท่ารำอ่อนช้อยเข้าจังหวะ  ปากก็ขับสร้อยรองเง็ง...
         “หน่อยนอย นอยน้อย นอยน้อย น้อยนอย น้อยนอย นอยน้อย..”
ฉิ่ง ทับ รำมะนา ของพวกลูกคู่ก็บรรเลง ฉิ่งปับ  ฉิ่งปับ  ๆ ให้จังหวะเร่าร้อนจนฉันนึกอยากจะกระโดดออกไปเต้นกับเขาบ้าง

น้องสาวของฉันชอบนั่งดูพวกเขาร้องรำทำเพลง  ตอนนั้นเ ธอเพิ่งหัดพูด  เพิ่งออกเสียงได้แค่พยางค์ สองพยางค์
           “ตาหนวง รำ ตาหนวง รำ”  เธอชี้ไปที่ตาหนวง แล้วหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

พ่อของฉันทั้งร้องทั้งรำเข้ายาหมดทุกขนาน ส่วนเรื่องดนตรีพ่อจะชอบปี่และขลุ่ยเป็นพิเศษ ถึงกับลงทุน ขุด เจาะ ด้วยตนเอง เลาไหนเสียงดีพ่อก็จะเก็บไว้  อันไหนเสียงเพี้ยนไปหน่อยใครมาขอพ่อก็ให้เขาไป “ให้มือสมัครเล่นเอาไปฝึก...” พ่อไม่เสียดาย
คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่เหนือผืนไร่ด้านทิศตะวันออก แม่พาน้องสาวเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ส่วนฉันกับพ่อนั่งชมจันทร์กันอยู่ที่นอกชาน พ่อเป่าขลุ่ยส่งเสียงกังวานไปทั่วทั้งผืนป่า น้ำค้างพร่างพรม หิ่งห้อยกระพริบแสงแข่งจันทรระยิบระยับอยู่รอบบ้าน...

ฉันเพลินนั่งชมความงามรอบกาย  เคล้าคลอเสียงขลุ่ยของพ่อจนเคลิบเคลิ้มง่วงหาว... จึงค่อย ๆ กระเถิบคลานเข้าไปหนุนตักพ่อนอน

บนท้องฟ้าดวงดาวเปล่งแสงระยิบระยับแข่งกับดวงพระจันทร์ ลมเย็น ๆ พัดมาเอื่อย มาลูบไล้ผิวกายคนผอมแห้งอย่างฉันบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ และเมื่อได้ยินเสียงสัตว์ป่าออกมาคำรามร้องอยู่ใกล้ ๆ สอดแทรกเสียงขลุ่ยของพ่อขึ้นมา ฉันก็รู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
พ่อถอนขลุ่ยออกจากปาก เหมือนกับจะรู้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดกลัว  “เสียงมูสังแปลงน่ะลูก ตัวมันเล็กกว่าไอ้เบี้ยวที่ใต้ถุนเสียอีก  เพียงแต่เสียงมันใหญ่เหมือนเสือ ลูกไม่ต้องกลัวมัน”
พอได้ยินพ่อเอ่ยถึงไอ้เบี้ยว  หมาซึ่งนอนเป็นยามระแวดระวังภัยอยู่ที่ใต้ถุนเรือน ฉันจึงค่อยอุ่นใจและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว... แต่สักพักก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกอกตกใจ เมื่อรู้สึกว่าหัวของฉันไม่ได้หนุนตักพ่ออยู่ อีกทั้งยังได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกพ่อด้วยความตื่นตระหนกอยู่ใก ล้ ๆ ผสานกับเสียงเห่ากระโชกของไอ้เบี้ยวที่ดังมาจากริมไร่หน้าบ้านร าวกับจะกินเลือดกินเนื้อใครสักคน
เมื่อฉันหายงัวเงียและลืมตาขึ้นมา  ก็พบว่าตัวเองยังคงนอนตากน้ำค้างพร่างหนาวอยู่ที่เดิม  ส่วนพ่อนั้นฉันเห็นแม่กำลังประคองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอายาลมละลายน้ำใส่ ช้อนเขียวกรอกปากให้กิน พลางร้องตะโกนเรียกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ให้รีบมาช่วยกัน
           “วู้.... ลุงอิน ลุงอิน... ลุงทอง บ่าวรุ่ม วู้...ช้างเถื่อนเข้าไร่ฉันแล้ว มาช่วยกันเร็ว เร็ว”
ฉันลุกขึ้นนั่งและเหวี่ยงสายตาไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นผืนไร่ข องเรา... ท่ามกลางแสงจันทร์และหมู่ดาวที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า ที่ริมขอบไร่อันกว้างลิบติดกับแนวป่าหน้าบ้านของเรา ฉันเห็นโขลงช้างป่านับสิบเชือกกำลังเหยียบย่ำและหักกินพืชไร่กั นอย่างเมามัน ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่   มองเห็นชัดเจนไปแต่ไกล ครั้นพอพวกมันได้ยินเสียงโห่ไล่จากเพื่อนบ้านของเราดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงปืนแก๊ปที่ส่องขึ้นฟ้า โป้ง ป้าง อีกสามสี่นัดพวกมันก็พากันล่าถอยเข้าป่าลึกไป
ตาอิน ตาทอง ยายเขียว ตารุ่ม แห่ตามหลังกันมาที่บ้านของเรา   เว้นแต่ยายเขียวคนเดียวที่ถือมีดพร้า นอกนั้นถือปืนแก๊ปกันมาทุกคน เมื่อได้เห็นอาวุธปืนป้องกันภัย พร้อมกับได้เห็นหน้าค่าตาของเพื่อนบ้านที่ยกทีมมาช่วยกันอย่างพ ร้อมเพรียง ก็ทำให้ฉันฝืนยิ้มออกมาได้  ไอ้ที่กลัวจนตัวสั่นอยู่เมื่อครู่ก็ค่อย ๆ ทุเลาหายไป

“ฉันกำลังนอนให้ลูกสาวกินนมอยู่ ได้ยินเสียงพี่ร้องโห่ไล่ช้างเฮ้ว ๆ ขึ้นสองสามครั้ง แล้วเงียบไป  เลยลุกออกมาดู ... ท่าจะแผดเสียงมากไป”  แม่พูดให้เพื่อนบ้านฟัง หลังจากยกเชี่ยนหมากกับยาเส้น และน้ำเย็นในโอ่งออกมาต้อนรับอีกขันหนึ่ง... พ่อนั่งดมยาดมอยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่ากระไร
ตาทองหันมาล้อฉันว่า “พ่อเอ็งโห่ช้างจนเป็นลม เอ็งกลับไม่ตื่น ระวังไว้นะ นอนเซาแบบนี้ มูสังจะย่องมากัดเจี๊ยวเข้าสักวัน”

ตอนนั้นฉันอายุ 6 ขวบ ยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน ยังอาศัยอยู่กับพ่อที่เรือนไม้กลางป่าใหญ่ นาน ๆ พ่อจะพาฉันออกไปเที่ยวบ้านย่า และพาไปหาซื้อขนมอร่อย ๆ จากร้านค้าแถวนั้นให้ฉันกินสักครั้ง พ่อบอกว่าเมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียนฉันก็จำเป็นจะต้องไปอาศัยอยู ่กับย่า กับปู่ และอาสาว ซึ่งบ้านของท่านอยู่ใกล้โรงเรียน...
ฉันคิดถึงวันนั้น ซึ่งมันกำลังจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า ความเงียบเหงาวังเวงก็คืบคลานเข้ามาเกาะกุมหัวใจของฉันทันที
ฉันอยากอยู่กับพ่อที่บ้านไร่ ไม่อยากจากไปไหนเลย

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2505 วันมหาวิปโยค เกิดมหาวาตภัยขึ้นที่แหลมตะลุมพุก…
พ่อของฉันออกไปธุระที่ตลาดตะกั่วป่าตั้งแต่เช้า กระทั่งเย็นย่ำนกกาเพรียกร้องหารังพ่อก็ยังไม่กลับมา... เราสามคนแม่ลูก แม่ ฉัน และน้องสาว นั่งรอพ่ออยู่ที่หัวกระไดนอกชาน ขณะที่เมฆฝนบนฟ้ากำลังก่อตัวมืดครึ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ ทั่วทุกสารทิศนอกจากเสียงนกกาที่บินร้องกลับรังก็ไม่มีเสียงอื่ นสอดแทรกมาให้ได้ยิน
มันเป็นความสงบเงียบที่น่าสะพรึงกลัว  ราวกับลางสังหรณ์
แม่ของฉันนั่งน้ำตาเอ่อคลอจนฉันนึกแปลกใจ...
         “แม่ร้องไห้ทำไม?”  ฉันใจไม่ดี
แม่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
          “พ่อ ?”
            “พ่อยังไม่เสร็จธุระ”  แม่ปลอบใจฉัน  “เราเข้าไปนั่งรอพ่ออยู่ข้างในบ้านกันดีกว่า...”
แม่อุ้มน้องสาวเดินลอดประตูเข้าไปข้างใน ฉันถือมีดพร้าด้ามเล็ก ๆ เดินตามไปติด ๆ
ภายในบ้านมืดขมุกขมัว แม่หยิบตะเกียงน้ำมันก๊าดที่วางอยู่ตรงชายฝาหัวนอนมาวางไว้กลาง บ้าน  แล้วก็เอาเหล็กไฟตัวเล็ก ๆ ประจำบ้านเปิดฝาครอบติดไฟจะจุดตะเกียง ทว่ากระแสลมที่เริ่มแผ้วพานเล็ดลอดขึ้นมาตามร่องฟาก กระพือพัดเปลวไฟจากไส้เหล็กไฟในมือของแม่ดับวูบลง
แม้ว่าแม่จะใช้ความพยายามเอานิ้วหัวแม่มือดีดวงล้อกรีดถ่านเหล็ กไฟตัวนั้นสักกี่ครั้ง ๆ ก็มีแต่ประกายไฟซึ่งเกิดจากถ่านเหล็กไฟเท่านั้นที่พุ่งเป็นยวงย าวออกมา  แต่สำหรับด้ายชนวนเหล็กไฟก็มิปรากฏเปลวเพลิงขึ้นมาสักที  ทำให้เราสามคนแม่ลูกต้องทนนั่งอกสั่นขวัญแขวนท่ามกลงความมืดขมุ กขมัวด้วยความจำยอม กระทั่งกระแสลมที่พัดลอดซี่ฟากขึ้นมาจากใต้ถุนได้เพิ่มพลังแรงข ึ้น ลิงกังที่พ่อล่ามโซ่ไว้หลวม ๆ   เพื่อให้มันกระโดดโลดเต้นไปไหนได้สะดวกที่ต้นพลาข้างบ้าน ส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ
          “หู ร้อง แม่ หู ร้อง”  น้องสาวของฉันรักลิงกังตัวนี้มาก
           “อย่าส่งเสียงลูก อย่าส่งเสียง”
แม่คงจะหวั่นวิตกกับความวิปริตแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศในยามน ี้จนสุดขีด แม่จึงโอบกอดฉันและน้องสาวเข้าไปซุกแนบไว้กับอกของแม่อย่างแนบแ น่น
ฉันชำเลืองสายตาไปที่ประตูซึ่งยังเปิดแง้มรอพ่ออยู่  ผ่านวงแขนของแม่ข้างที่โอบกอดฉันไว้...
ข้างนอกท้องฟ้าแดงก่ำเป็นสีเลือด เสียงหวีดหวิวของพายุดังกึกก้องกัมปนาทราวกับแผ่นฟ้าผืนดินจะถล ่มทลาย เรือนไม้ของเราไหวยวบและเอนไปตามแรงกระแทกของกระแสลมที่พัดกระหน่ำลงมา และทันใดนั้นเอง  ฉันก็ได้ยินเสียงไม้ใหญ่ในราวป่าหักโค่น และล้มฟาดลงกับพื้นเสียงโครมครืน
ลิงหูบนต้นพลาข้างบ้านหวีดร้องเสียงแหลมราวกับจะขอความช่วยเหลือ
แต่... ถ้าพ่ออยู่ด้วย... น้ำตาของฉันเอ่อคลอเพราะนึกสงสารมัน
เมื่อพายุพัดถล่มสิ่งกีดขวางโค่นล้มระเนระนาดระลอกแรกผ่านไปแล ้ว ไม่นานระลอกที่สองก็ตามมาพร้อมกับเม็ดฝน   มันพัดกระหน่ำลงบนหลังคาจากบ้านเราเสียงโครม ๆ ราวกับจะบดขยี้ให้แหลกลาญ   เคราะห์ดีที่พ่อเอาลำไม้ไผ่วางทับไว้ถี่ยิบ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็คงจะพังทลายหลังคาของเราจนโล่งเตียนไปแล้ว

เสียพายุพัดอื้ออึง ทั้งฟ้าทั้งฝนโหมกระหน่ำติดต่อกันราวสามชั่วโมงก็ค่อยซาลง แม่จึงจุดตะเกียงได้สำเร็จ และในขณะเดียวกัน หูของฉันก็พลันได้ยินเสียงโว้ยว้ายโวยวาย  เหมือนภูตผีปีศาจกำลังผุดขึ้นจากหลุม ดังแว่วมาจากทิศทางบ้านตาอินกับ ตาทอง ทำให้ฉันซึ่งเป็นคนขี้ตื่นตกใจต้องหันไปมองหน้าแม่ แต่แม่กลับยิ้มเฉย
สักครู่ คนสามสี่คนก็ถือคบเพลิงแดงโร่เดินเรียงแถวมายังบ้านของเราด้วยส ภาพที่ย่ำแย่    เสื้อผ้าเปียกปอนและฉีกขาด บางคนมีแผลถลอกปอกเปิดตามเนื้อตัว คิ้วคางฟกมอ และปูดโปนเหมือนเอาผลมะกรูดลูกกลม ๆ แปะติดไว้
ตาอิน ถือคบเพลิงโขยกเขยกขึ้นกระไดเรือนผ่านนอกชานเข้ามานั่งในบ้านขอ งเราเป็นคนแรก แกพูดกับแม่ว่า “บ้านของมึงโชคดีที่มีแนวไผ่กั้นไว้ ช่วยต้านลม... บ้านของกูโล่งเตียนไม่มีอะไรเป็นเกราะกำบัง เลยโดนมันพังฉิบหายหมด” 
พ่อกลับมาถึงบ้านในสภาพของคนที่เพิ่งรอดตายภายหลังพายุพัดสงบได ้ไม่นาน ทุกคนยังนั่งกินหมากและสูบยาใบจากรอพ่ออยู่ รวมถึงฉันด้วย นั่งฟังเขากล่าวขวัญกันถึงเหตุร้ายที่เพิ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ  แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาจะพูดถึงมันด้วยความตลกขบขันมากกว่าความหว าดกลัว ทำให้ฉันยังรู้สึกงุนงงอยู่จนทุกวันนี้

ก่อนหน้านั้น แม่เอาผ้าถุงกับเสื้อของแม่ให้ยายเขียวผลัดเปลี่ยน ส่วนคนอื่นก็อาศัยผ้าโสร่งและผ้าขาวม้าของพ่อประทังกายกันไปพลา ง ๆ
พ่อกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกปอนและเปรอะเปื้อนขาดวิ่นไปท ั่วทั้งตัว ตามนิ้วมือนิ้วเท้า และแขนขาปรากฏร่องรอยของมีคมกรีดบาดจนเป็นแผลลึกถลอกเลือดไหลซึ ม คิ้ว คาง ฟกนูนเหมือนกับ ตาทอง ยายเขียว ส่วนข้าวของที่เคยถือติดมือกลับบ้านไม่เคยขาด  พ่อบอกทุกคนว่า  "เที่ยวนี้เหลือแต่ตัวเว้ย... พรรคพวก" 

เมื่อพ้นบันไดและผ่านนอกชานเข้ามาถึงข้างในด้วยสถาพิดโรย  พ่อถามแม่คำแรกว่า
          “ลูก ๆ ตกอกตกใจกันมากไหม?”
           “ไม่”   แม่สั่นหัว “ฉันกอดไว้แน่นทั้งสองคน... ลูกสาวหลับไปนานแล้ว”
พ่อเอามืออันเย็นเฉียบด้วยพิษหนาวเอื้อมมาลูบหัวฉันทีหนึ่ง แล้วเดินเลี่ยงไปหาน้องสาวที่นอนหลับอยู่ข้างใน สักพักฉันจึงได้ยินเสียงพ่อสะอื้นไห้
         “นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันแล้วลูกเอ๋ย”

พ่อเล่าว่า หลังกลับจากตะกั่วป่ามาทางทะเล พอก้าวขึ้นจากลำเรือที่ท่าน้ำบ้านย่า และเอาของฝากที่ซื้อมาฝากปู่กับย่าให้ไว้กับอาสาวแล้ว พ่อก็หิ้วข้าวของสามสี่อย่างที่ตั้งใจซื้อติดมือกลับบ้าน มุ่งหน้าเดินมาอย่างรีบเร่ง ระหว่างทางเมื่อเกิดพายุพัดกระหน่ำ   ต้นไม้หักโค่นลงขวางหน้า   ก็ทำให้ไม่กล้าที่จะฝืนเดินอีกต่อไป จึงได้แอบเข้าไปนั่งหลบอยู่บนขอนไม้ข้างกอไผ่ริมทาง ซึ่งคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว กระทั่งพายุระลอกสองหอบเอาเม็ดฝนฟาดกระหน่ำลงมาอีกครั้งอย่างรุ นแรง ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในก็หักโค่นลงมา ส่วนปลายของมันเหวี่ยงฟาดลงบนกอไผ่กอนั้นแบนราบ และสุมพ่อติดอยู่ข้างใน
          “มืดก็มืด กลัวก็กลัว“  พ่อว่า “ คลำหาทางออกสะเปะสะปะจนเข่าอ่อนกว่าจะหลุดออกมาได้ ข้าวของหลุดมือหาไม่เจอเลยสักชิ้น... เฮ้อ ไม่ตายก็บุญแล้ว”  พ่อหัวเราะทั้ง ๆ ที่ปากบวบเจ่อเหมือนโดนผึ้งต่อย
เหตุการณ์พายุโซนร้อนแฮเลียตพัดถล่มแหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช และฟาดหัวฟาดหางไปถึงบ้านไร่ของฉันที่จังหวัดพังงาในครั้งนั้น ได้สร้างความสูญเสียให้กับพ่อแม่พี่น้องทางภาคใต้ในโซนนั้นอย่า งใหญ่หลวง หลายร้อยชีวิตต้องสูญสิ้นไปกับความบ้าคลั่งของมัน และอีกหลายๆชีวิตที่รอดตายก็ต้องพบกับความสูญเสีย... บางคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องสูญเสียญาติมิตร พ่อ แม่ ลูกเมีย ทรัพย์สิน บ้านเรือน เรือแพ เครื่องมือหากิน บางคนต้องสูญเสียอนาคต เพราะไร้ที่พักพิง... ซึ่งฉันเชื่อว่าหลายชีวิตที่รอดมาได้ และยังมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงบัดนี้ ก็คงจะยังจดจำเหตุร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในวันนั้นกันได ้อย่างมิอาจลืมเลือน
ส่วนพ่อของฉันก็เกือบจะสูญเสียชีวิต   ด้วยการที่ไม้ใหญ่ริมทางเดินหักโค่นลงมาสุมทับจนถลอกปอกเปิดไปหมดทั้งตัว แต่ท่านก็ยังพูดติดตลกตามแบบฉบับของท่านในภายหลังว่า
            “ตอนที่ถูกต้นไม้โค่นลงมาสุมทับจนข้าวของเสียหาย... อย่างอื่นไม่นึกเสียดายเท่าวิทยุทรานซิสเตอร์ เพราะตั้งใจจะซื้อมาฟังข่าว นี่ถ้าซื้อมาไวกว่านี้สักวันสองวัน บางทีเราก็อาจจะรู้ข่าวของมันเสียก่อนก็ได้ เฮ้อ ไม่น่าเลย”

Edited by เฒ่านุ้ย

ลูกหมาขี่เรือบิน

ระนอง พังงา หัวเมืองปักษ์ใต้ที่ฝนตกชุกจนได้ชื่อดินแดนฝนแปดแดดสี่ หน้าฝนฝนตกพรำทั้งวันทั้งคืนจนเดือดร้อนเทวดา อยู่ไม่เป็นสุข เพราะพวกที่ไม่เอาฝนพากันแช่งชักหักกระดูก  ส่วนพวกที่อยากได้ก็ไชโยโห่ร้องจุดประทัดกันสนั่น  บอกว่าเทวดารับบน โดยเฉพาะพวกทำเหมืองแร่บนภูเขาที่ขาดน้ำไม่ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถูกใจก็สรรเสริญเยินยอ ไม่ถูกใจก็ค่อนขอดด่าว่า  ถือเป็นคติเตือนใจท ี่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

   บ้านฉันอยู่อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา  ซึ่งมีเขตแดนทางด้านทิศเหนือติดกับจังหวัดระนอง   สมัยเด็ก ๆ วงจรชีวิตของพวกฉันบางครั้งก็ตกอยู่ในวงล้อมของสภาพดินฟ้าอากาศ ที่ย่ำแย่อยู่บ้างเหมือนกัน ตอนที่ถูกจับให้เลี้ยงควายอยู่ในทุ่งนาแทนพวกพี่ ๆ ที่ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานอย่างอื่นนั่นล่ะ-ที่เรารู้สึกว่ามันช่า งแย่เสียจริง  ๆ

จะแดดหรือฝน เปียกหรือแห้ง ร้อนหรือหนาว สำหรับเด็กเลี้ยงควายอย่างพวกเราถ้าวันไหนนึกขี้เกียจหรือไม่ค่ อยพอใจ  มันก็เป็นเรื่องที่แสนจะย่ำแย่และหน้าเบื่อหน่ายไปเสียทั้งนั้น โดยเฉพาะสภาพอากาศช่วงปลายเดือนสี่เดือนห้าที่ท้องทุ่งนาร้อนระ อุราวกับจะแผดเผาใครให้ตายลงไปในชั่วพริบตาได้สักคน เราก็ยิ่งไม่อยากจะให้มันโคจรมาถึงเลย

ท้องนาหลังเก็บเกี่ยวเดือนสี่เดือนห้า ในบิ้งนาเหลือแต่ตอซัง  พวกเราโรงเรียนปิดภาคเรียนเทอมปลาย  ก็สวมเครื่องทรงเลี้ยงควายแทนชุดนักเรียน... เปลือยกายท่อนบน  เหลือท่อนล่างนุ่งกางเกงขาด ๆ รัดสะเอวด้วยสายเชือกพอกระชับ  แค่วิ่งไล่ควายไม่หลุดลุ่ยก็พอ

ตอนนั้นฉันเป็นเด็กหัวโล้น เพราะติดเหามาจากโรงเรียน...  เกาเสียจนหนังหัวเปื่อยเป็นแผลน้ำเหลืองเยิ้ม เรียกกันว่า"ชันตุ"จนย่ารำคาญเลยจับฉันกล้อนผมเสียเตียนโล่ง

“ไอ้ไข่นุ้ยมานี่...” ย่าพลิกครกตำข้าวให้คว่ำลงแล้วชี้ให้ฉันขึ้นไปนั่งบนก้นครกทรงก ลม ลื่นเป็นมันเหมือนเก้าอี้ที่โรงเรียน ใบมีดโกนหนวดของปู่ที่อยู่ในมือย่าคมวับ น่าหวาดเสียว

หากแต่สายตาของย่านั่นซิ-คมวาว ! น่ากลัวกว่าใบมีดโกนเป็นไหน ๆ

เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกจับกล้อนผมด้วยใบมีดโกน รู้สึกเสียววูบวาบ  กลัวว่ามันจะไพล่มาบาดเอา แต่ไม่กล้าขัดขืน เพราะเห็นย่าเหลือบแลไม้เรียวซึ่งเหน็บไว้ที่ชายฝาหน้าบ้านอยู่ ู่ไปมา

“ไม่ตายหรอก” ปู่ว่า ขณะนั่งฝนขมิ้นกับปูนแดงรอไว้ชโลมหัวรักษาแผลเน่าเปื่อยให้ฉันอ ยู่ใกล้ ๆ

ตอนที่ย่าถากใบมีดโกนลงบนหนังหัวเปื่อยเน่าของฉันเสียงดังแกรก ๆ มันทั้งเสียวทั้งเจ็บ ตอนที่คมมีดตัดสะเก็ดชันตุปนเลือดปนหนองหล่นใส่แผ่นหลังและหน้า อกซึ่งปล่อยล่อนจ้อนไม่มีอะไรปกปิดสักนิดเดียวนั้น มันทำให้คันยึบยับอย่างทรมาน ยิ่งตอนที่คว้าสบู่ซันไลน์ไปกระโดน้ำคลองตามคำสั่งของย่าด้วยแล ้ว ฉันจำได้ว่ามันเจ็บแสบอย่างมหาวายร้ายเลยทีเดียว

“ฟอกสบู่ล้างหัวให้ทั่ว... กลับมาไม่เรียบร้อย เอ็งโดนไม้เรียว “

ว้า--เอะอะก็ไม่เรียว ๆ ฉันนึกน้อยใจจนน้ำตาไหล

เวลาฉันขี่หลังควายลงทุ่ง อ้ายพวกเด็กเลี้ยงควายที่ไปถึงก่อนมันเห็นฉันถูกจับกล้อนผมชโลม ขมิ้นซะเหลืองอ๋อย มันก็ล้อกันว่า “เฮ้ย อีแร้งแก่เกาะหลังควายมาแล้วโว้ย” ลางคนก็แสร้งทำเป็นเถียง  “พ่อมึงนะซี! อ้ายนั่นเขาเรียกหมาหัวโล้นโว้ย มึงแหกตาดูให้ดีซิ หัวมันเหลืองหม่นเหมือนหัวหมา ฮา ฮา ”

ถ้อยคำที่พวกมันชวนกันสรรเสริญเยินยอ   ล้วนแต่น่าจะเอาหมัดทิ่มปากให้เลือดสาดไปเสียทั้งนั้น ผิดแต่ว่าฉันตัวเท่าลูกหมาจึงไม่ใคร่กล้าที่จะต่อกรกับใคร... แต่ก็โชคดี ตรงที่มีญาติลูกพี่ลูกน้องหน้าตาขึงขังเหมือนยักย์ทศกัณฐ์คนหนึ ่งคอยเป็นเงาคุ้มครอง หากแต่ในสมัยนั้นฉันก็ช่างร้ายกับแกเหลือเกิน

แกชื่อจิต เป็นเด็กผู้ชายตัวดำล่ำสัน อายุมากกว่าฉัน 3 ปี แต่สอบตกซ้ำชั้นจนได้มาอยู่ชั้นเดียวกันตอนฉันสอบ  ป.3 ขึ้น ป. 4  ซึ่งเป็นปีแรกที่ถูกเขาเกณฑ์ให้เลี้ยงควาย

และเป็นเพราะฉันมีพี่จิตคอยโอบอุ้มนี่เองที่ทำให้มักได้เปรียบผู้อื่นแทบทุกอย่าง  ทั้งของกินและของเล่นไม่มีใครกล้าแย่งฉันหรอก

             “เฮ้ย ! ให้ไอ้ไข่นุ้ยมันก่อน” นั่นคือประกาศิตจากลูกพี่เบิ้มของฉัน   จะร้องตวาดขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าฉันกำลังเสียเปรียบ 

“ได้ ๆ ให้ไอ้หมานุ้ยมันก่อน-ก็ได้" พวกมันจะหันมามองฉันด้วยสายตาที่ฝากรอยแค้นพยาบาท  หากแต่ทำอะไรฉันไม่ได้ อย่างหมากก็แค่ประชดฉันว่าหมา จากไอ้ไข่นุ้ยก็กลายเป็นไอ้หมานุ้ยไปเสียฉิบ

หากแต่เมื่อถึงคราวที่ฉันจะได้ยิบยื่นความกตัญญูรู้คุณทดแทนพี่ จิตกลับไปบ้าง ฉันกลับไพล่ไปในทางเลวอย่างไม่อาจให้อภัยแก่ตัวเองเลย

ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเรายกโขยงลงทุ่งพร้อมกันแล้ว  และฝูงควายก็ถูกต้อนรวมกันเป็นฝูงเดียวเสร็จแล้ว ฉัน-ซึ่งเป็นเด็กเจ้าความคิดก็เสนอว่าแดดร้อนอย่างนี้เราไปเล่น น้ำคลองกันดีกว่า

“แล้วใครจะแลควาย!?” มีคนสงสัย.... “ควายแหกฝูงไปเข้าสวนของตาผู้ใหญ่ละก้อ - -มึงเอ๋ย น่องลายเชียว”

จริงว่ะ---ตาผู้ใหญ่..!

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงตาผู้ใหญ่ฉันก็จะนึกขยาดขึ้นมาทันที เพราะขึ้นชื่อว่าไม้เรียวของตาผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใครออกใครอย ู่เหมือนกัน   แกไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน  จะลูกหลานใครแกไม่เกี่ยว ผิดนักละก้อฟาดขวับ ๆ ลงไปทันที แล้วก็ไม่มีวันเสียล่ะที่อ้ายพวกหมา ๆ ทั้งหลายจะกล้าพกรอยไม้เรียวของแกไปรายงานที่บ้าน ขืนหลุดปากออกไปซี จะได้โดยเข้าอีกรอบปะไร  เผลอ ๆ อาจโดนหนักกว่าเก่าก็ได้... พวกผู้ใหญ่เขาดุกันจะตาย

เออ...แล้วใครเล่าหว่า! จะอยู่เฝ้าฝูงควาย...? ฉันใช้หัวคิด

“เฮ้ย! ไอ้แสง เอ็งไปหักก้านมังเครมาซิ” ว่าแล้วฉันก็ยักคิ้วให้ไอ้แสงอย่างรู้กัน “ใครจับได้ไม้สั้นต้องอยู่เลี้ยงควาย” ฉันพูดเสียงดัง

ต้นมังเครแถวนั้นมีอยู่เกลื่อนทุ่ง ใบของมันเรียวแหลม สีออกแดงเจือแสด มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ย ๆ ชอบขึ้นอยู่ตามชายป่าละเมาะ   และริมหนองน้ำ ลูกของมันกลมรีเท่าหัวแม่มือ เมื่อสุกจัดก็ปริบานแยกเป็นพูสีม่วงฉาบขาว รสชาติหวานปะแล่ม กินเข้าไปสักลูกสองลูกลิ้นจะกลายเป็นสีม่วงทำให้ผู้อื่นรู้ว่าแ อบไปกินลูกมังแครที่ชายทุ่งมาแล้ว

“ว้า- -กูอีกแล้ว!”

พี่จิตลากเสียงครางออกมาอย่างผิดหวัง ขณะทอดสายตามายังฉันคล้ายกับไม่เชื่อในโชคชะตาของตน  เมื่อแกดึงก้านมังเครสั้นจุ๊ดจู๋ขึ้นมาจากกำมือของไอ้แสง

คนที่เรียนหนังสือ 6 ปี 4 ชั้นอย่างพี่จิตมีหรือจะตามทันกลโกงของพวกเรา เพราะก้านไม้มังแครอันเปราะบางที่อยู่ในกำมือไอ้แสงนั้น คุณสมบัติพิเศษของมันก็คือ เมื่อหักออกเป็นสองท่อนเมื่อไหร่แล้ว ก็สามารถที่จะสวมกลับเข้ารอยเดิมได้อย่างแนบสนิท ไอ้แสงจะกำหนดให้ใครจับไม้สั้นไม้ยาวก็ได้... อยู่ที่กำให้แน่น หรือคลายออกให้หลวมแค่นั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ พี่เบิ้มของฉันก็จำต้องก้มหน้าดูแลฝูงควายแทนพวกเราที่กำลังจะไ ปเล่นน้ำ สนุกสนานกันอีกวันตามระเ บียบ

เมื่อนึกถึงความหลัง ฉันคิดว่า   แม้จะโกนเข้าวัดหัวบวชล้างบาปที่เคยทำไว้กับพี่จิตสัก กี่ครั้งกี่หน ก็จะไม่มีวันลบหาย เพราะทุกวันนี้คนซื่ออย่างพี่จิตฉันจะไปหาที่ไหน ตายแล้วเกิดใหม่สักสิบชาติก็หาไม่เจอ

วันนั้นพวกเราหลบแดดร้อนลงไปลอยคอแช่น้ำเล่นไอ้เข้ไอ้โขงอยู่ใน คลองอย่างผาสุข ในขณะที่พี่จิตต้องถือไม้เรียวเดินตากแดดอยู่ข้างฝูงควายจนเหงื ่อไหลไคลย้อย ครั้งหนึ่งฉันเหลือบเห็นแกแอบมายืนดูพวกเราอยู่บนตลิ่งด้วยใบหน ้ายิ้มแย้มอย่างพลอยมีสุขไปด้วย มันทำให้ฉันใจหายวาบขึ้นมาทันที

และก่อนที่เราจะชวนกันขึ้นมาจากลำคลองในวันนั้น ฉันได้ยินเสียงเครื่องบินบินหึ่ง ๆ มาทางทิศเหนือ ซึ่งปกติเวลาประมาณนั้นจะมีเพียงเครื่องบินพาณิชย์ที่บินจากกรุ งเทพฯไปลงที่สนามบินภูเก็ตเพียงลำเดียวที่บินผ่าน ทว่าก่อนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจว่าเครื่องบินลำที่ว่าบินผ่านไป หรือยัง หากแต่เสียงเครื่องบินที่กำลังบินตรงมาทางทิศเหนือในขณะนั้น รู้สึกว่าเสียงเครื่องยนต์ของมันออกจะดังผิดหู   จนทำให้ฉันค่อนข้างม ั่นใจว่าน่าจะไม่ใช่ลำเดียว

“มึงว่าเรือบินกี่ลำ?” ฉันทายปริศนากับพวกที่ลอยคอแช่น้ำและแหงนคอคอยมองอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งพวกมันตอบว่า "ลำเดียว” ครั้นเวลาล่วงไปสองสามอึดใจ เหนือน่านฟ้าด้านทิศเหนือที่เรากำลังแหงนคอมองอยู่นั้นปรากฏฝูง เครื่ องบินบินเกาะกลุ่มกันมา 5 ลำ ทั้งหมดบินสูงเทียมเมฆมุ่งหน้ามาทางเรา แล้วก็ผ่านเลยไปทางทิศใต้จนลับตาหายไปในเวลาอันรวดเร็ว  ซึ่งมันได้สร้างคำถามขึ้นในหัวใจของพวกเราทุกคน  เพราะหลังจากเลิกเล่นน้ำกันแล้วก็ยังคงถกเถียงจนเกือบจะไ ด้ฟาดปากกันหลายหน

“กูว่าเรือบินรบ"

ใครคนหนึ่งพยายามหาข้อสรุป แต่อีกคนกลับแย้งว่า

“ไม่ใช่... ถ้าเรือบินรบมันจะต้องห้อยระเบิดมาด้วย”

“แล้วมึงเสือกมองขึ้นไปเห็นหรือวะ? - -ไอ้เวร ถุย!”

“กูว่าน่าจะเป็นเรือบินในหลวง ลำที่บินอยู่ข้าง ๆ น่าจะเป็นเรือบินทหาร”

“เออ กูก็ว่าเหมือนกัน” เป็นครั้งแรกที่พี่จิตซึ่งยืนฟังพวกเราถกเถียงกันตาปริบ ๆ ด้วยความใคร่รู้พยักหน้าคล้อยตาม “โตขึ้นสองวัน กูจะขี่เรือบิน"

พี่จิตพูดพร้อมกับหันมองไปยังทิศทางที่เรือบินฝูงนั้นบินลับหาย ไปเมื่อสักครู่

“เฮ้ย! มึงนะหรือจะขี่เรือบิน?”

ไอ้ชนพูดพร้อมกับทำท่าล้อเลียน หากแต่ในที่สุดมันก็ชะงักและทำตาเหลือกอย่างตกอกตกใจ เมื่อพี่จิตหันกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกว่า"เอาเรื่อง" หมัดซ้าย-ขวากำแน่นไม่รั่วลม ตะคอกว่า

“เออ- กูไอ้จิตนี่แหละจะขี่เรือบินให้ได้ มึงคอยดู"

ทุกคนพากันหุบปากและยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นลูกพี่ของฉันมีท่าทีจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้แต่ฉันขณะนั้นก็จิตใจล่องลอยบอกไม่ถูก

หลังจากนั้นไม่นานฉันกับพี่จิตก็ต้องแยกจากกัน... และไม่ได้พบหน้าค่าตากันอีกเลย... เพราะหลังจากจบชั้นประถมปีที่ 4 แล้วพี่จิตก็ไม่ได้เรียนต่อชั้นประถมปลายเหมือนฉัน หากแต่แกได้ย้ายไปอยู่กับแม่ซึ่งเลิกร้างกับพ่อของแกมานานหลายป ี ที่บ้านกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง ซึ่งสุดแสนจะไกลลิบสำหรับความรู้สึกของฉันในขณะนั้น

ต่อเมื่อฉันอายุได้ 30 กว่า ๆ ฉันก็มีโอกาสได้ขี่เรือบินโดยไม่ได้คาดหวังเอาไว้เหมือนอย่างพี ่จิตคาดหวังอย่างจริงจังในวันนั้น แต่เป็นเพราะฉันมีธุระจำเป็นอย่างที่สุด... เป็นธุระของผู้อื่นที่ฉันแส่เข้าไปรับภาระชนิดเนื้อไม่ได้กินหน ังไม่ได้รองนอน หากแต่เอากระดูกมาแขวนคอ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมีญาติห่าง ๆ ของแฟนมาติดต่อขอร้องให้ช่วยเป็นธุระจัดการขายที่ดินของเขาที่อ ยู่ติดถนนสายเอเชียซึ่งเป็นถนนสายหลักมูลค่ากว่ายี่สิบล้านบาทใ ห้เขา

อ้ายฉันก็ไม่ได้คิดที่จะกินเศษกินเลย หรือหวังค่านายหน้าเข้าพกเข้าห่อแต่อย่างใด แต่เมื่อได้ตัดสินใจรับปากช่วยเขาแล้วก็บอกไปว่า ถ้าหากฉันจัดการได้สำเร็จก็ขอให้ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายในการวิ่งเ ต้นทำธุระซึ่งฉันได้ทดรองจ่ายไปก่อนแล้วให้ฉันด้วย ...

ก็เท่านั้น!

แต่ครั้นพอเสร็จงาน ฉันก็ถูกถีบหัวส่ง นอกจากจะไม่ได้สักสตางค์แดงเดียวแล้ว พบหน้าก็ไม่ใคร่จะพูดจาทักทายกันเหมือนแต่ก่อน หรืออาจบางทีพวกเขาคงกลัวว่าฉันจะรื้อฟื้นบุญคุณขึ้นมาหรือเปล่ าก็ไม่รู้ ฉันไม่แน่ใจ

คุณหมอเพื่อของฉันซึ่งเป็นผู้ประสานงานระหว่างฉันกับนิติกรของบ ริษัทจัดซื้อที่กรุงเทพฯ ก็ได้ตักเตือนฉันด้วยความหวังดีไว้ก่อนแล้ว   ว่าควรที่ฉันจะต้องทำสัญญานายหน้าให้ถูกต้องตามระเบียบ&a mp;n bsp; ก่อนที่กระบวนการซื้อขายที่ดินแปลงนี้จะบรรลุเป้าหมายและ สิ้นสุดลง... น่าเกลียด ! ฉันว่า...ญาติ ๆ กันทั้งนั้น คุณหมอก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ว่ากระไร ทว่าเมื่อรู้ข่าวตอนหลังก็ถึงกับหน้าเสียด้วยความตกใจ

"ก็ผมเตือนคุณแล้ว เงินน่ะไม่เข้าใครออกใครคุณก็ไม่ฟัง”

ท่านตำหนิฉันอย่างน้อยใจ ส่วนฉันถึงแม้จะสงสัยว่าคุณหมอจะได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาจากบริษัทผู ้ซ ื้อไปเท่าไหร่ ก็ไม่กล้ารบกวนถาม   เพราะจะเป็นการละลาบละล้วง ฉันเพียงแต่ปลงเสียว่า    ดีเสียอีก... ถึงแม้ไม่ได้เงินแต่ก็ได้มีโอกาสขี่เรือบิน เพราะ ถ้าเป็นธุระอื่น ขืนรีบเร่งถึงขนาดนั้นแฟนของฉันบ่นตายเลย

เรือบินลำที่ฉันโดยสารไปทำธุระเร่งด่วนตามคำร้องขอของฝ่ายนิติก รของบริษัทที่กรุงเทพฯในวันนั้น บินขึ้นจากสนามบินสุราษฎร์ธานี เวลา 12.30 น. บินเลียบชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันออก    คือ ฝั่งอ่าวไทย   ขึ้นไปทางทิศเหนือ ฉันนั่งติดช่องหน้าต่างด้านซ้ายมือ เมื่อทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างก็แลเห็นผืนน้ำทะเลแบ่งสีสันกัน อย่างชัดเจน บอกให้รู้ถึงตำแหน่งตื้นลึกของท้องทะเลได้อย่างดี... เพราะสีของมันมีความเข้มข้นต่างกัน ทำให้เราแยกแยะได้

ครั้นบริกรสาวเข็นรถสัมภาระคันเล็ก ๆ แลดูน่ารักทั้งรถทั้งคนออกมาให้บริการแก่ลูกค้าตามหน้าที่ผ่านไ ปรอบแรก... ฉันก็รับเอากล่องอาหารที่เธอยื่นส่งให้พร้อมกระพุ่มมือสวัสดีค่ ะ  ยัดใส่ตะกร้าที่แลดูคล้ายอวนดักปลาซึ่งแขวนอยู่หลังพนักพิงตัวห น้า เสร็จแล้วก็ทอดสายตาชมทิศทัศน์ในมุมสูงอีกรอบตามประสาคนไม่เคยข ี่เรือบิน

"โตขึ้นสองวันกูจะขี่เรือบิน”

สำเนียงซื่อ ๆ ของเด็กชายชาวนาผู้กำยำล่ำสันคนนั้นดังแว่วขึ้นสองข้างหู ทำให้ฉันอดที่จะทอดสายตามองออกไปไกลจนสุดขอบฟ้าทิศตะวันตกเสียม ิได้ หากแต่ตอนนั้นสายตาเริ่มพล่าเลือนด้วยม่านน้ำตา ซึ่งค่อนข้างนานกว่าหักใจได้

และเมื่อมองจากมุมสูงในระดับเพดานบินของเครื่องบินโดยสารลำนั้น ถัดจากฝั่งทะเลอ่าวไทยไปทางซ้ายมือ พื้นดินข้างล่างมีทั้งสีเขียวเข้มและเขียวอ่อน กระทั่งสีเหลืองไล่เฉดไปจนเข้มเกือบจะเป็นน้ำตาลอ่อนก็มี แลเห็นเด่นชัดอยู่เป็นหย่อม ๆ ซึ่งฉันพอจะคาดเดาได้ว่านั่นคือ บิ้งนา นั่นคือสวนยาง ส่วนที่เป็นจุดกลม ๆ สีเขียวเข้มเท่าหัวไม้ขีด และเรียงกันอยู่เป็นแถวเป็นแนวก็น่าจะเป็นสวนมะพร้าวหรือไม่ก็ป าล์มน้ำมัน...ฉันไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกเสียดายที่เรือบินบินเลียบไปทางฝั่งนี้ ถ้าเป็นฝั่งอันดามันละก้อ... โน่นไงล่ะเทือกเขาภูเก็ต ท้องนาฝั่งภูเขาฝั่งนู้น.. ก็บ้านย่าฉัน จึงให้รู้สึกเสียดายที่สายตามองลงไปไม่เห็น แม้ว่าใจมันเห็น และเห็นไกลไปถึงอดีตครั้งขี่หลังควายแหงนมองเรือบินบินข้ามหัวอ ยู่ตามท้องนา...

เคยนึกว่ามันจะโคลงเคลงไปมาจนทำให้ต้องโก้งโค้งออกไปคายของเก่า เหมือนกับตอนที่นั่งเรือแจวของพ่อออกทะเลไหมหนอ?

ค่าตั๋วคงแพงน่าดู...? ชาตินี้เราจะมีปัญญาไหม...?

ทุกข้อสงสัยล้วนแต่โจทย์ที่ไม่อาจเฉลยคำตอบทั้งสิ้น!

เช่นเดียวกับหลายคำถามที่กรีดน้ำตาของฉันให้เอ่อท้นขอบตากระทั่ งรินไหลลงมาเป็นทางขณะนั่งอยู่บนเรือบินในวันนั้น ซึ่งเป็นวันที่ฉันก็ไม่อาจค้นหาคำตอบได้อีกเช่นกัน

พี่จิต... พี่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า....?

พี่ได้ขี่เรือบินสมปรารถนาแล้วหรือยัง ?

พี่จิตครับ ไอ้ไข่นุ้ยของพี่ได้ขี่เรือบินแล้วครับ พี่ดีใจไหม?

จนในที่สุดฉันต้องล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับน้ำ ตาอย่างไม่อาย เมื่อฉันหลับตาเห็นภาพพี่จิตกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ในวันที่คุณครูประกาศผลการสอบหน้าเสาธง ในตอนบ่ายของวันประกาศปิดภาคภาคเรียน ตอนฉันอยู่ชั้น ป.4

" เด็กชายไข่นุ้ย สอบได้ที่ 1 และได้ทุนเรียนต่อ ป.ปลายจากท่านศึกษาธิการอำเภอปีละ 200 บาท เอ้าปรบให้หน่อย..."

“ไชโย ไชโย ไชโย”

ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้นเกรียวกราว พี่จิตกระโดดเข้ามาอุ้มฉันแล้วยกชูขึ้นบ่าพาวิ่งวนไปรอบ ๆ เสาธงสามสี่รอบ ด้วยความดีอกดีใจ ก่อนที่คุณครูจะให้โอวาทและปล่อยให้นักเรียนทุกคนกลับบ้าน กลับไปเตรียมตัวต่อสู้กับอนาคตข้างหน้าซึ่งมันแสนจะโลเลและตลบต ะแลงยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ

Edited by เฒ่านุ้ย

เพื่อนเก่าในกาลเวลา

เช้าวันอันแสนธรรมดาๆ วันหนึ่ง เจ้าโกมล หรือ “ไอ้เหยิน” ย่อมาจาก “ไอ้ฟันเหยิน” อดีตเพื่อนไม่สนิทในชั้นเรียน ของโรงเรียนมัธยมชายล้วนย่านสะพานปลา บางรัก โทรศัพท์มาหาที่ทำงาน

แปลกใจเล็กน้อยว่ามันไปได้เบอร์ผมมาจากไหน เพราะร้อยวันพันปี มันกับผมไม่เคยได้ติดต่อกันเลย ยาวนานกว่า 10 ปีแล้ว เห็นจะได้

1

ข้อความจากปลายสาย บอกว่า ตอนนี้มันทำมาหากินเป็นทนายความ ผมเป่าปากพรืดอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าไอ้เหยินไม่ได้ขายประกันหรือแอมเวย์!

“คือ ยังงี้ พวกกู ซึ่งได้แก่ ไอ้เอ ไอ้สูจน์ ไอ้เมธ มึงคงจำพวกมันได้ จะจัดงานสังสรรค์เพื่อนมัธยมของเรา ในวันที่ 22 ที่จะถึง พวกกูคิดเชิญเพื่อนรุ่นเราที่ได้ดิบได้ดีมางาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ คบๆ กันไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน” เจ้าของเสียงหยุดกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่

“และงานนี้นะโว้ย มึงจำไอ้เจี่ย หัวหน้าห้องได้หรือเปล่าวะ ตอนนี้ มันจบดอกเตอร์มาจากญี่ปุ่น และเป็นที่ปรึกษาบริษัทด้านกฎหมายของบริษัทญี่ปุ่น โห... กินเงินเดือนเป็นแสนๆ มันให้เกียรติเป็นประธานจัดงานด้วยนา” ไอ้เหยินรัวยิบ จนผมกังวลว่า คำพูดจะพันคอมันตายไปเสียตรงหน้า

“เพื่อนนักเรียนรุ่นเราได้ดีกันหลายคน ใหญ่ๆ โตๆ กันเกือบทั้งนั้น มึงก็ใช่ย่อย เป็นถึงครูบาอาจารย์มหา’ลัย”

วินาทีนั้น ผมเผลอทวนคำพูดของไอ้เหยินขึ้นมาช้าๆ “รุ่นเราได้ดีกันหลายคน ล้วนแล้วแต่ใหญ่ๆ โตๆ กันเกือบทั้งนั้น” พลางตั้งคำถามกับตัวเองว่า

“แล้วพวกเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ใหญ่ๆ โตๆ ในความหมายของไอ้เหยินมันละ ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง”

ในตอนนั้นเองที่ใจผมประหวัดหวนนึกไปถึง “ประชา” เพื่อนรักผู้พิการขึ้นมาอย่างประหลาด นับจากวันประกาศผลเอนทรานซ์เมื่อหลายปีก่อน ผมเองก็แทบลืมเลือนเพื่อนคนนี้ไปจากความทรงจำ

“มึงได้ข่าวประชาบ้างหรือเปล่าวะ ? ” ผมถามไอ้เหยิน หลังถอนหายใจยาว

ปลายสายอุทานขึ้นแผ่วเบา “ใครว้า” ไอ้เหยินใช้เวลาเนิ่นนานครุ่นคิด ราวกับว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยในชีวิต

“อ้อ ไอ้บอดนั่นนะเหรอ เออวะ กูไม่ได้ข่าวมันเลย เฮ้ย ! มันเอนท์ไม่ติดนี่หว่า ไม่รู้มันไปทำอะไรเหมือนกันว่ะ ไม่ได้ข่าว ช่างเหอะ ว่าแต่มึงจะไปงานนี้หรือเปล่าวะ...เฮ้ย...มึงฟังกูอยู่หรือเปล่ า”

ในตอนนั้น ผมคล้ายว่า ไม่ได้ยินคำพูดต่อๆ มาของไอ้เหยินอีกแล้ว ความคิดคำนึงดำดิ่งกลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้ง ภาพอดีตผุดพรายขึ้น ชัดเจนราวกับว่าผมกำลังนั่งดูละครโทรทัศน์หลังข่าวยามค่ำคืน...

2

เมื่อวันแรกของการเปิดภาคเรียนในชั้นมัธยม ผมเห็นภาพแม่วัย 40 ปลายๆ จูงมือผมที่ตอนนั้นยังตัวเล็กเท่าสะเอวของแม่ เก้ๆ กังๆ ตามประสาคนไม่เคยออกไปไหนไกลเกินกว่ารั้วบ้าน ก้าวขึ้นรถเมล์โทรมๆ คันหนึ่ง มุ่งสู่โรงเรียนมัธยมหลังใหม่ที่ไกลกว่าโรงเรียนประถมหลังเก่า ที่เพียงเลยซุ้มเฟื้องฟ้าสีสวยหน้าบ้านไปก็ถึงแล้ว

บนรถเมล์คันนั้น แม่งกๆ เงิ่นๆ หยิบเหรียญเงินที่ชายพกผ้าถุงยื่นให้กระเป๋ารถเมล์ ที่ชักสีหน้าไม่พอใจในความเชื่องช้า ผมรู้สึกสงสารแม่จับใจ แม่ผู้ไม่ค่อยรู้หนังสือหนังหา แต่เพียรทำทุกทางเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ

แม่นั่งนับป้ายรถเมล์ไปเรื่อยๆ ทีละป้าย ทีละป้าย และเมื่อถึงป้ายที่ 8 ซึ่งเป็นป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน แม่ในอาการตื่นๆ ก็รีบแหวกผู้คนพาผมลงจากรถเมล์ เก้ๆ กังๆ ไม่แพ้ตอนขึ้นมาสักเท่าไร เราสองคนจูงมือกันเดินอ้อยอิ่งผ่านตึกเรียนสีขาวหลังใหญ่หลายหล ัง ที่โอบล้อมสนามซีเมนต์ทั้งสี่ด้าน มาหยุดยืนหน้าห้องเรียนที่มีป้ายไม้เล็กๆ สีเขียวแก่ มีตัวอักษรสีขาวเขียนไว้เหนือประตูทางเข้าว่า “ม.1/3”

สักพัก แม่จึงจากผมไปเพื่อกลับบ้าน และก่อนที่ร่างแม่จะเลือนหายไปพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆ ผมก็รีบวิ่งออกไปที่หน้าห้องเรียน ตะโกนเรียกแม่เสียงหลง

“แม่ครับ สาย 1 ถนนตก-บางรัก นะแม่ ไม่ใช่สาย 22 อย่าลืมนะ เดี๋ยวจะหลงทางเหมือนวันที่มาดูผลสอบอีก”

แม่หันมายิ้มและพยักหน้าให้ด้วยท่าทีเงอะงะชวนสงสาร ก่อนหมุนร่างจากไป ผมมองดูแม่จนลับตา แล้วจึงกลับไปรวมกลุ่มกับเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกัน เกือบ 50 คน และหลายคนในพวกเขาเหล่านี้ได้กลายมาเป็นเพื่อนรักของผมในเวลาต่ อมา รวมทั้งประชา เด็กน้อยสมองทึบทึม และนัยน์ตาข้างซ้ายบอดสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ผู้รักกีฬาฟุตบอลเท่าชีวิต !

3

ในตอนเป็นเด็กขนาดนั้น เราทุกคนต่างมีความฝันผิดแผกแตกต่างกันออกไป บางคนฝันเป็นหมอ ทหาร ตำรวจ แต่สำหรับประชาเพื่อนผู้พิการของผม เขาฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย

“ฐานะก็ยากจน แถมยังเป็นคนโง่ที่สุดในห้อง จะตกมิตกแหล่ จะฝันให้ไกล เป็นอะไรดีๆ เหมือนกับคนอื่นเขา มันคงยาก เป็นนักฟุตบอลทีมชาตินี่ละว่ะ เห็นทีจะเข้าท่าสุดแล้วสำหรับเรา”

ประชาบอกฝันให้ผมฟังในค่ำคืนที่พราวไปด้วยแสงดาววิบวับ ขณะที่เราทั้งสองกำลังนอนดูท้องฟ้าที่สนามหญ้าหน้าค่ายลูกเสือว ชิราวุธ จังหวัดชลบุรี เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ชั้น ม.3

“แต่ นาย เออ... ตาบอดนะ” ผมติงเขาให้ได้คิด

“แต่เราตาบอดข้างเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราต้องไปถึงฝั่งฝันของเราให้ได้ เชื่อเหอะ” เขาเถียงผมอย่างดื้อรั้น ในตอนนั้น หัวใจของผมสั่นระริกขึ้นมาด้วยความเศร้า เมื่อได้ฟังฝันของเขา เพราะในความจริงแล้ว มันช่างลางเลือนซะเหลือทน

หว่างฟ้ามืดในค่ำคืนนั้น ผมคล้ายแลเห็นฝันของประชา มันลอยเคว้งคว้างไปค้างเติ่งติดอยู่ที่ดวงดาวดวงหนึ่งที่อยู่ไก ลเกินสุดสายตา

“ฝันของเจ้า มันช่างไกลเสียจริงๆ หนอ ประชาเอ๋ย” ผมกระซิบฝากสายลมไปสู่ดวงดาวดวงนั้นของประชา

4

ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เราหลายคนในชั้นจะรวมตัวกันไปเล่นฟุตบอล ที่ลานดินของวัดฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ทุกคนจะเตรียมเสื้อฟุตบอลมาจากบ้านและผลัดเปลี่ยนกันที่นั่น และ ณ ที่แห่งนั้น เราจะสังเกตความชื่นชอบทีมฟุตบอลของแต่ละคน ได้จากเสื้อยืดที่ใช้สวมใส่เล่นฟุตบอลกัน

สำหรับประชาเอง เขาชอบที่จะใส่เสื้อสีแดงสด ที่มีธงชาติไทยเล็กๆ แปะติดไว้ตรงหน้าอกด้านซ้าย เขาตั้งฉายาให้กับตัวเองอย่างน่าขนพองสยองเกล้าแกมขบขันในหมู่พ วกเราว่า “ไอ้บอดดินระเบิด” ขณะเล่นกันเอง เราแบ่งข้างกันเล่นแบบที่เรียกกันในหมู่เด็กๆ อย่างเราว่า “โกล์รูหนู” เพียงเอากระป๋องนมเปล่า ก้อนหินเก่า วางกองสุมเป็นเสาประตูกว้างราว <?:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:smarttags" />3 ฟุต ไม่ต้องมีผู้รักษาประตูคอยเฝ้า แค่นี้ลานวัดก็กลายเป็นสนามฟุตบอลเล็กๆ อันแสนวิเศษของพวกเราไปโดยปริยาย

ในการเล่น เราจะแบ่งคนที่เล่นฟุตบอลเก่งและไม่เก่งถัวๆ กันไป พวกเราล้วนไม่ได้คิดจริงจังกับเกมการแข่งขันแพ้ชนะกันมากนัก (แต่ชนะได้ก็จะดี) และในหมู่ของพวกเรา ประชาหรือในสมญานามว่า ไอ้บอดดินระเบิด คือคนที่แข็งแรงสุด เตะหนักสุด ด้วยพละกำลังที่พระเจ้าประทานให้ ราวจะทดแทนความผิดพลาดที่ทรงลืมประทานดวงตาข้างซ้ายให้เขามาตั้ งแต่กำเนิด

ผมยังระลึกได้ถึงภาพที่ไอ้บอดดินระเบิดกับเสื้อยืดสีแดงที่มีธง ชาติไทยปักอยู่ที่หน้าอก วิ่งเอียงๆ โดยใช้ตาข้างขวาเป็นเรด้าร์ นำทางเข้าหาลูกฟุตบอลที่เกลือกกลิ้งอยู่บนลานวัด ขณะที่ตาข้างซ้ายที่บอดจะปะหลับปะเหลือกขึ้นลงอย่างน่าเวทนา สำหรับผม มันช่างเป็นภาพที่น่าขันและน่าหดหู่ใจไปพร้อมๆ กัน

ครั้งใด ที่มีนักเรียนโรงเรียนใกล้ๆ มาท้าแข่งเพื่อชิงสนาม หรือพนันเงิน ทีมนักฟุตบอลลานวัดของเราก็จะคัดเอาเฉพาะคนเก่งที่สุด ลงเล่นต่อกรด้วย ส่วนคนไม่เก่งก็จะกลายเป็นกองเชียร์อยู่ข้างสนาม และในบรรดาคนเหล่านี้จะรวมไปถึงประชาด้วยคนหนึ่งเสมอ

“ให้เราลงเล่นเป็นตัวจริงเหอะวะ รับรองไอ้พวกนี้กระจุย” ประชามักทำเสียงออดอ้อนกับผม ที่ชอบทำตัวเป็นหัวหน้าทีมเสมอ และได้ผล ประชาจะได้ลงเล่นทุกครา แต่ก็ทุกครั้งอีกเช่นกัน เพียงแค่สายลมพัดผ่าน เขาก็จะถูกเปลี่ยนตัวออกจากเกม เพราะประชามักเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ทีมของเราต้องเสียประตูอยู่เป ็นนิจ

“เฮ้ย ไอ้บอด ไอ้สมองหมาปัญญาควาย มึงนะออกไปเลย ไอ้ห่าแม่งง...มีแต่แรง” เสียงตะโกนเช่นนี้ของใครบางคนจะดังขึ้นอยู่บ่อยๆ จากนั้นประชาก็จะเดินคอตกหน้าละห้อยออกจากสนามไปเป็นกองเชียร์

บอกตามตรงครับ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า จะมีโค้ชฟุตบอลทีมชาติไทยคนใด ที่อยากได้นักฟุตบอลที่มีดวงตาเพียงข้างเดียว และปราศจากฝีมืออย่างประชาเอาไว้ในทีม

ยิ่งคิดหัวใจของผมก็สั่นระริกด้วยความเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง!

5

คืนวันผันผ่านพาพวกเราทั้งหลายล่วงสู่ความสุข เศร้า เหงา และทุกข์ในวัยเรียนมาด้วยกัน ปีแล้วปีเล่า จนมาถึงวันประกาศผลเอนทรานซ์ พวกเราส่วนใหญ่ล้วนสอบติด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบไม่ได้ ประชาเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนส่วนน้อยนั้น

อนิจจา! เทพีแห่งโชค (ร้าย) มักอยู่กับประชาเสมอ

“เอนท์ไม่ติดก็ไม่เป็นไรหรอกวะ เราจะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติให้ได้ ไม่ต้องห่วง นายคอยดูเราในทีวีแล้วกัน” ประชาให้สัญญากับผม ซึ่งฟังไปแล้วคล้ายคำสั่งลาและอาลัยเสียมากกว่า เพราะนับจากวันนั้น พวกเราแต่ละคนต่างก็เดินไปสู่ดวงดาวแห่งฝันที่ทุกคนได้มุ่งหมาย เอาไว้ ต่างคนต่างหลงระเริงไปกับเพื่อนใหม่ และโลกใบใหม่ภายในรั้วมหา’ลัย ที่สดใส มากสีสัน และสวยกว่าโรงเรียนมัธยมของเรา มีบ้างบางครั้งคราที่เราจะติดต่อถึงกันทางโทรศัพท์ แต่จากนานๆ ครั้ง จนกลายเป็นไม่มีเลยสักครั้งไปในที่สุด

ผมไม่รู้จริงๆ ครับว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเราและผม

เราหลงลืมคืนวันอันแสนสุขเหล่านั้นไปได้อย่างไร?

6

“ฮัลโหล ฮัลโหล เฮ้ย! นี่มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะ กูถามมึงหลายทีแล้วนะว่า ตกลงมึงจะไปงานเลี้ยงรุ่นของพวกเราหรือเปล่าวะ”

เสียงของไอ้เหยินที่ดังระรัวผ่านสายโทรศัพท์พาผมกลับมาสู่ปัจจุ บัน ผมตอบตกลงมันไปในที่สุด

7

ในห้องจัดงานเลี้ยงของโรงแรมหรูในวันสังสรรค์เพื่อนนักเรียนเก่ า ที่เต็มไปด้วยไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ เสียงดนตรี และเสียงสรวลเสเฮฮา

ผมยินเสียงพร่ำบอกกันถึงธุรกิจพันแปดร้อยล้าน และความสำเร็จของเพื่อนเก่าหลายคน ที่บัดนี้กลายเป็นคนใหญ่ๆ โตๆ ฟุ้งกระจายเกลื่อนไปทั่วห้องหับจัดงานเลี้ยง แต่ผมกลับมองไม่เห็นเพื่อนเก่าๆ อีกหลายคน คิดไปเองว่า พวกเขาคงไม่ได้เป็นคนใหญ่ๆ โตๆ ละกระมัง เลยไม่ได้รับเชิญ รู้สึกหดหู่และอ้างว้างขึ้นมาเป็นกำลัง

งานใกล้เลิกแล้ว เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของผู้คนซึ่งผมไม่ชอบ ผมจึงคิดชิงกลับก่อน ขณะย่ำเดินออกจากห้องจัดงานเลี้ยง ผมก็บังเอิญมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงปากประตู เสื้อฟุตบอลสีแดงซีดซอมซ่อกับธงชาติไทยบนหน้าอกด้านซ้าย ที่เขาสวมใส่อยู่ สะดุดใจผมเป็นอย่างยิ่ง ชายคนที่ว่าผลุนผลันเดินหนีไปจาก ณ ที่ตรงนั้นทันที เมื่อรู้ว่ามีผมจ้องมองอยู่

บางอย่างในความทรงจำฉุดกระฉากตัวผมให้รีบตามไป และตัดสินใจตะโกนเรียกเขาในเวลาต่อมา

“เดี๋ยวครับ คุณ หยุดสักเดี๋ยวเถอะครับ”

เสียงของผมทำให้ชายคนนั้นชะงักเท้าหยุดนิ่งราวกับรูปปั้น ก่อนค่อยๆ หันร่างมาเผชิญหน้ากับผม

และจากแสงไฟสีเศร้าระหว่างทางเดินของโรงแรม แล้วผมก็ได้แลเห็นใบหน้าของเขาอย่างถนัดถนี่ พลันภาพเด็กน้อยสมองทึบทึม และนัยน์ตาข้างซ้ายบอกสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ผู้รักกีฬาฟุตบอลเท่าชีวิตเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งมาบัดนี้ได้กลับมายืนตรงเบื้องหน้าของผมอีกครั้ง !

8

เราสองคนยืนจ้องหน้ากันนิ่งเนิ่นนาน และในความเงียบงันนั้น ผมพินิจร่างซูบผอม กับใบหน้าที่แก่เกินอายุจริงด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ

ประชาเอ่ยกับผมว่า รู้ข่าวการเลี้ยงสังสรรค์จากข่าวสังคมในหน้าหนังสือพิมพ์ จึงอยากมาร่วมรำลึกความหลังเก่าๆกับเพื่อนเก่าๆ ด้วย แต่ครั้นพอมาถึงงาน ก็กลับไม่กล้าเข้าไป เมื่อนึกถึงสารรูปตัวเอง เขาบอกด้วยว่า หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขามุ่งมั่นฝึกซ้อมที่จะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติให้จงได้

“แต่เราไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติหรอกเพื่อน ใครเขาจะมาสนใจนักฟุตบอลพิการอย่างเรา ตอนนี้ก็ได้แต่เป็นผู้ดูแลสนามและอุปกรณ์ฟุตบอลให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนเล็กๆ ในต่างจังหวัด พอเลี้ยงตัวกับลูกเมียได้ไปวันๆ” ประชาพูดจบ น้ำตารื้นขึ้นมาที่ดวงตาข้างที่ไม่บอด พร้อมกับพยายามหลบหน้า ซ่อนน้ำตาเอาไว้

“ช...ช...ช่างมันเถอะ ช่างมัน ไม่เป็นไรหรอก บางครั้ง ความจริงมันก็ผกผันกับความฝันอย่างนี้แหละ แต่ถึงไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะยังไงซะ นายก็ยังเป็นไอ้บอดดินระเบิดในความทรงจำของพวกเราอยู่เสมอ...”

ผมกลั้นสะอื้นกล่าวออกไป น้ำเสียงขาดหายขึ้นมาเฉยๆ ก่อนแข็งใจกล่าวต่อว่า

“...และที่สำคัญ เรายังคงเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

พูดจบ จึงยื่นมือไปตบบ่าประชาเพื่อนเก่าอย่างปลอบโยน ก่อนกอดคอพาเขาเข้าสู่งานเลี้ยงที่ใกล้เลิกราเต็มที

ระหว่างเดินกลับไปสู่งานเลี้ยงเพื่อนนักเรียนเก่า เม็ดน้ำตาแวววาวดุจดังดวงดาวบนฟากฟ้ายามนั้น ที่สะกดกลั้นเอาไว้ตั้งแต่แรกที่พบกับประชา พลันก็ไหลพรั่งพรูสู่พรมสีดำนั้นไปตลอดทาง น้ำตาแห่งความเสียใจที่ว่า

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมลืมเลือนเพื่อนเก่าผู้แสนอาภัพของผมคนนี้ไปได้อย่างไรกันหนอ?”

................................................

Edited by รัน*

กลกามา

“ผ่าเถอะ ! อุบาทว์จริงๆ”

ดำสบถลั่น ขณะโผล่พรวดออกจากซอยเล็กๆ มายืนหอบแฮ่กๆ ลิ้นห้อยเหมือนหมาอยู่ริมถนนใหญ่ แสงจากพระจันทร์กลมเบี้ยว ลอยหรุบหรู่เหนือตึกสูงของกรุงเทพมหานคร สะท้อนสีหน้าเด็กหนุ่ม ที่ยังคงไม่หายจากอาการตื่นตะลึง

หัวกบาลเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า

“ทำไมเรื่องบ้าๆ อย่างนี้ จึงต้องมาเกิดขึ้นกับกูด้วยวะ?”

............................

เย็นที่ผ่านมา หลังเลิกงานในร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ย่านคลองถม และกำลังจะกลับห้องเช่าที่วงเวียนใหญ่ตามปกติ เฮียเจ้าของร้านเกิดมีงานด่วน ต้องบินไปเจรจาธุรกิจที่เชียงใหม่กะทันหัน

อาจเพราะในบรรดาลูกจ้างทั้ง 5 คน เฮียสนิทสนมกับเขาที่สุดก็เป็นได้ เฮียจึงสั่งให้เขาอยู่นอนเป็นเพื่อนเมียที่ห้องว่างชั้นล่าง

ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีลูกจ้างคนไหนเคยได้นอนค้างที่ร้านเลย หลังเลิกงาน จะมีเพียงนายจ้างสองผัวเมียที่เพิ่งข้าวใหม่ปลามัน นอนอยู่ที่ชั้นบนของร้านเท่านั้น

“เจ๊เขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในชีวิตส่วนตัวของเราว่ะ เสร็จแล้วก็บ้านใครบ้านมันละกันนะ”

เฮียเคยบอกพวกเขาอย่างนั้น ในคืนหนึ่งที่มีงานล้นมือ ต้องอยู่ทำงานล่วงเลยกันจนถึง ดึกดื่น

แม้ในตอนแรก ดำพยายามปฏิเสธจะไม่ขอนอนค้าง โดยยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมาอ้าง

“ทำไม ไม่ให้ญาติเฮียหรือญาติเจ๊มานอนเป็นเพื่อนละครับ ?”

“เฮ้ย ! ต่างคนต่างก็มีภาระกันทั้งนั้น”

เฮียพูดเสียงดัง มีเจ๊ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงเดินไปหยิบเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงชาวเลสีดำ ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ จากมุมหนึ่งของร้าน มายื่นให้

“แล้วพรุ่งนี้ ผมจะใส่ชุดไหนทำงานละครับเฮีย ?”

“เรื่องมากจัง พรุ่งนี้เช้าก็กลับไปเปลี่ยนสิโว้ย! ”

ทว่าที่สุด ดำก็ต้องยอมจำนน...

กระทั่งตกดึก ดำหลับเพลินๆ เสียงเจ๊ก็มาเรียกที่หน้าห้อง บอกว่าไฟในห้องนอนดับ ให้ช่วยไปดู ทันทีที่ประตูเปิดผ่าง ดำก็หงายหลังผึ่ง เมื่อแลเห็นร่างอวบในชุดนอนสีชมพูบางๆ มายืนขาวล่อนใต้แสงไฟ เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี รีบจ้ำพรวดๆ ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน

ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าไปในห้อง พลันใบหน้าของดำก็ต้องซีดเผือดลง เพราะในความสลัวที่มีแต่แสงสว่างจากจอโทรทัศน์ขนาด <?:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:smarttags" />29 นิ้ว มีเครื่องเล่น VCD ที่สมบัติ เมทะนีโฆษณา วางอยู่ข้างๆ ตรงปลายเตียง ภาพฝรั่งหญิงชายคู่หนึ่ง กำลังเปลือยกายสำเริงสำราญกันอย่างถึงพริกถึงขิง จึงได้มาปรากฏแก่สายตา เสียงสูดปากราวกับกินพริกขี้หนูสวนเข้าไปสักกำมือ ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้อง เด็กหนุ่มกลั้นใจ ข่มเสียงถามหาไฟฉาย เพื่อจะใช้ดูดวงไฟนีออนบนเพดาน

“ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกน่า”

ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้น

“สนใจเจ๊ดีกว่า”

พูดจบ หล่อนก็ขยับร่าง มายืนจังก้าตรงหน้า ระยะห่างไม่เกินศอก น้ำหอมกลิ่นฉุนลอยฟุ้งมาถีบจมูก

“เคยดูรึเปล่า... า...า... ?”

หล่อนลากเสียงยาวยวนยั่ว ชายตาไปที่จอโทรทัศน์

ดำไม่ตอบ ขมวดคิ้วถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ๊ที่เคยเป็นคนเรียบร้อยราวผ้าพับไว้ แต่ทำไมตอนนี้จึงกลายมาเป็นนางแมวยั่วสวาทไปได้

ข้างฝ่ายเจ๊ซึ่งจ้องมองเขาไม่วางตา ยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้า ระเรื่อยลงมาจนถึงแผงอกกำยำนอกเสื้อยืด

“เธอหล่อเหลือเกิน รู้ตัวไหม ดำ ? เจ๊แอบหลงรักเธอ และอยากอยู่ใกล้ชิดเธออย่างนี้มานานแล้ว”

วินาทีนั้น สำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดีเกือบจมหายไปใต้อำนาจมืดอยู่รอมร่อ หากดำจะไม่ฉุกคิดถึงเฮีย ผู้หยิบยื่นงานให้ เมื่อแรกเข้ามาในป่าคอนกรีตนี้ใหม่ๆ โดยพกพาเอาความรู้เพียงชั้นม.3 ติดตัวมาจากท้องนาเท่านั้น

สำนึกนั่นเอง ที่ทำให้ดำโพล่งพูดออกไปว่า

“เจ๊ช่วยเอามือออกไปเถอะครับ ทำอย่างนี้ มันไม่ดีกับเฮีย”

“ฟังนะ ดำ เฮียจะไม่มีทางรู้หรอก ถ้าเราไม่พูด”

“ถึงเฮียจะไม่รู้ แต่ผมกับเจ๊ก็รู้นี่”

“เอาละ เธออยากได้อะไร บอกมาเถอะ เจ๊จะให้ทุกอย่าง เจ๊รักเธอนะ ดำ”

เจ๊รีบยื่นข้อเสนอ ชูมือที่มีธนบัตรใบละร้อยอยู่ปึกหนึ่ง ดำไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร แต่มันกำลังถูกยัดเข้ามาในมือเขา พร้อมกับที่เจ๊ค่อยๆ เขยิบร่างเข้าใกล้กว่าเดิม ดำรีบยันร่างนั้นให้ออกห่าง กำเงินปึกนั้นไว้ในมือแน่น

“เจ๊รักผมจริงๆ หรือ?” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียบๆ

หล่อนทำท่าจะโผเข้ามาอีก แต่ดำก็ยกทั้งมือทั้งเท้าห้ามไว้

“โธ่ ! ดำ สาบานได้ เจ๊รักเธอ”

“ขอบคุณ!”

สิ้นเสียง ดำขว้างเงินปึกนั้นใส่หน้าหล่อนจนกระจาย อีกมือหนึ่งตบเพี๊ยะเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง ลึกๆ แล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกสะใจประหลาด เจ๊ล้มกลิ้งลงไปนอนกับพื้น แหงนหน้าตกตะลึงขึ้นมองดำ

“ก้มลงไปเก็บเงินของเจ๊คืนไป เก็บมันไว้ในหัวใจสกปรกของเจ๊ และจงจำไว้ว่า เงินของเจ๊ ซื้อหัวใจผมไม่ได้”

ดำตะคอกคำพูดที่จดจำมาจากละครโทรทัศน์หลังข่าวเสียงลั่น ก่อนเผ่นแน่บออกจากห้องนอน กระโดดลงบันไดทีละ 2 ก้าว วิ่งออกนอกร้านไปทางประตูหลัง ลัดเลาะตามซอยเล็กแคบที่จะทะลุไปยังถนนเจริญกรุง...

............................

เด็กหนุ่มสะบัดหัวไล่เรื่องเลวร้ายไปจากหัว ดวงตาเหน็ดเหนื่อยมองล่อกแล่กไปทั่วบริเวณ แลเห็นป้ายรถเมล์ลิบๆ ตา เริ่มต้นสืบเท้าเข้าไปหา

ทันใดนั้น รถเก๋งคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดเทียบข้างๆ กระจกด้านคนขับไหลพรืดลงมา

“เฮ้ ! ดำ ขึ้นรถไปนอนที่ร้านกันเถอะ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ไม่มีรถเมล์แล้วล่ะ” ดำทำท่าตกใจเหมือนถูกผีหลอก เมื่อเห็นเฮียมานั่งยิ้มเผล่หลังพวงมาลัยรถ มีเจ๊ในชุดเสื้อคลุมยาวมิดชิดนั่งเคียงข้าง ทั้งที่ยังงงๆ ดำเงอะงะไปเปิดประตูหลังและก้าวเข้าไปนั่งในรถ

“ฉันต้องขอโทษแกด้วย ที่ฉันกับเมียวางแผนลองใจแกอย่างนี้”

“ลองใจ ?” ดำตีสีหน้างงหนักขึ้นไปอีก

“เอ่อ ... คืออย่างนี้ นับจากนี้ ฉันคงต้องออกต่างจังหวัดเพื่อไปติดต่องานมากขึ้น จึงอยากหาใครสักคนมานอนเป็นเพื่อนเมีย ในตอนที่ฉันไม่อยู่ ฉันกับเมียก็เลยอยากจะทดสอบดูว่า เราสามารถไว้ใจแกได้จริงๆ หรือไม่ จึงช่วยกันวางแผนนี้ขึ้นมา” เฮียพูดยิ้มๆ ชำเลืองมองเจ๊ที่ไม่มีคำพูดใดๆ แล้วเหลียวหน้ากลับมาที่ดำ

“เหตุการณ์ทั้งหมด ฉันได้เห็นได้ยินตลอด เพราะแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน แกนี่มันยอดมนุษย์จริงๆ เลยว่ะ มิเสียแรงที่ชุบเลี้ยงมาหลายปี”

เฮียหัวเราะเสียงลึกอยู่ในคอ ขณะที่ดำนั่งตัวแข็งทื่อ

สักพัก รถเก๋งจึงแล่นมาจอดที่หน้าร้านซึ่งเป็นตึกแถวหลายชั้นริมถนน ดำลงไปไขกุญแจ เปิดประตูซี่กรงเหล็กด้านหน้า ทั้งหมดพากันเข้ามาในร้าน เจ๊และเฮีย เดินมาส่งดำที่หน้าห้อง แล้วทั้งสองจึงแยกเดินขึ้นชั้นบน

แต่แล้วเฮียก็หยุดชะงักตรงกลางบันได ปล่อยให้เจ๊ที่มีรอยยิ้มตรงมุมปากก้าวเดินต่อไปยังห้องนอน หมุนตัวกลับมาพูดกับดำว่า

“อืม...เราตกลงกันว่า อยากให้แกมาอยู่ที่นี่ด้วยกันเสียเลย จะได้ช่วยดูแลเรื่องขโมยขโจรให้ด้วย ยังไงพรุ่งนี้ แกก็บอกคืนห้องเช่าเขาเลยละกันนะ”

ดำพยักหน้าหงึกๆ เหมือนไก่ผงกหัว

....................

“ก๊อก ก๊อก”

พักใหญ่ๆ ในความเงียบสงัดของราตรี ดำยังคงนอนหลับตานิ่งอยู่ชั่วขณะ สูดหายใจลึกๆ แล้วลุกพรวดไปที่ประตู พลันที่เปิดประตูออกไป ร่างของเฮียก็มายืนยิ้มหวานอวดร่างยักษ์อยู่แล้ว ทั้งสองผวาเข้ากอดและแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม

“เฮียบอกแล้วไง เราต้องได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นกว่าเดิม”

ดำในชุดนอนผู้หญิง ผ้าชีฟองสีแดงเพลิงแนบร่างล่ำบึ๊ก กางเกงในจีสตริงสีเดียวกันโผล่แลบออกมาให้เห็นรำไร ลิปสติกสีม่วงอาบไล้ริมฝีปาก ยืนยิ้มบางๆ บิดตัวเอียงอายในอ้อมแขนใหญ่ มีมือที่เหมือนกิ้งกือยักษ์ไต่ไปทั่วร่าง

“เอ่อ...ว่าแต่ว่า จ...จ...เจ๊หลับแน่แล้วหรือ เฮีย” เสียงเครือๆ เอ่ยถาม

“ยานอนหลับของเฮีย ต่อให้ช้างกินเข้าไปแค่ครึ่งเม็ด ก็หลับเป็นตาย แต่นี่เฮียใส่ลงไปทั้งเม็ดในน้ำเย็นที่ให้เจ๊ดื่ม แล้วจะไปเหลืออะไรละ ดำ”

เฮียอู้อี้ตอบ ขณะขบติ่งหูเบาๆ พลางเอื้อมมือไปดึงประตูให้ปิดเข้ามา ช้อนร่างดำที่ชุดนอนรูดลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้วมาอุ้มไว้ ก้าวตรงไปยังเตียงนอน

แต่อนิจจา !

ดำจะรู้ไหมว่า ระหว่างที่เขากำลังรุกรบกับเฮียเป็นพัลวันอยู่นั้น ใครบางคนในชุดนอนสีชมพู กำลังจ้องมองดูภาพเหตุการณ์จากจอโทรทัศน์ ภายในห้องนอนชั้นบนอยู่ด้วยหัวใจระทึก !

....................

เวลาผ่านไปราว 2 เดือน เหตุการณ์ดำเนินไปเป็นปกติ กระทั่งวันหนึ่ง ในราวตี 3 หลังร่วมหลับนอนกันเสร็จ เฮียก็ขึ้นไปนอนยังห้องนอนชั้นบนเหมือนทุกครั้ง

จู่ๆ ดำก็เกิดปวดท้องรุนแรงขึ้นมา พยายามค้นหายาแก้ปวดท้องไปทั่ว แต่ก็ไม่พบ เขาตัดสินใจเดินโซเซเอามือกุมท้อง ขึ้นไปยังห้องนอนของสองผัวเมีย หวังจะขอยากินทุเลาอาการ

แต่พอไปถึง ดำก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจทั้งมวล เมื่อหูแว่วเสียงแผ่วๆ ฟังไม่ได้ศัพท์แต่คล้ายๆ คุ้นเคย เล็ดรอดออกมาจากภายในห้องนั้น ความสงสัยฉุดมือดำให้ปีนขึ้นไปบนหลังตู้เก็บของเพื่อแอบดู

จากช่องลมเหนือประตู เมื่อดวงตาปรับสภาพกับความสลัวในห้องได้แล้ว ดำก็ต้องปากอ้าตาถลนกับภาพที่เห็น ร่างเปลือยของเฮียกับเจ๊กำลังก่ายเกยกันอย่างเมามัน สลับกับการเงยหน้าจ้องมองไปยังจอโทรทัศน์ที่ปลายเตียง เครื่องเล่น VCD กำลังฉายภาพร่วมรักระหว่างเขากับเฮียที่เพิ่งยุติไปสดๆ ร้อนๆ

ดำนึกไปถึงกล้องวงจรปิดจิ๋วไร้สายที่ตั้งแผงขายทุกวันที่หน้าร้าน พลันรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ความโมโหเต้นตุบๆ บนผนังท้องแทนความเจ็บปวด รีบย่องลงไปที่ห้องครัวชั้นล่าง หยิบเอามีดปังตออันใหญ่มาถือไว้ในมือมั่น จ้องมองดูมันด้วยรอย ยิ้ม...

แต่เป็นยิ้มเฉพาะริมฝีปาก หากทว่าดวงตาวาว และเย็นชาเป็นที่สุด !

............................

เขียนโดย รัน

ภาพจาก : http://my.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=256349& ;chapter=3

ผู้เป็นแม่

แม่ผู้แก่เฒ่าเดินไม่ได้คนหนึ่ง เป็นที่รำคาญใจของลูกชาย เหลือเกิน...
สมัยนั้นยังไม่มีสถานสงเคราะห์คนชรา
จึงไม่รู้ว่าจะเอาแม่ไปฝากใครให้เลี้ยงแทน...
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแบกเอาไปปล่อยป่าให้อยู่ตามยถากรรม...
ระหว่างทาง แม่ไม่วอนขอ... ไม่ถาม... ไม่ว่าอะไร...
ตั้งใจหักกิ่งไม้ตามทาง เรื่อยไป เข้าป่าลึก...
ไกลมากแล้ว...ลูกชายวางแม่ลงบนโขดหิน แล้วหันหลังเดินกลับทางเดิมไป...
... ตอนนี้เองที่แม่ตะโกนตามหลังลูกชายไปว่า.....

"ลูกเอ๋ยเดินตามรอยกิ่งไม้ที่แม่หักไว้ให้นะ จะได้ไม่หลงทาง"

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

ลดความอ้วน อย่า งดแป้ง จะส่งผลต่อสมอง และความจำ

การจำกัดอาหารประเภทแป้งอาจลดทอนความสามารถในการจดจำคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับสมอง โดยนักวิจัยพบว่า ความสามารถในการจดจำลดลงทันทีหลังลดน้ำหนักตามสูตรแอตกินส์ ที่เน้นการห้ามกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง น้ำตาล มันฝรั่ง รวมถึงผักและผลไม้บางอย่าง แต่ให้กินโปรตีนและไขมันแทน โดยสูตรนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษปัจจุบัน
ดร.ฮอลลี เทย์เลอร์ ผู้นำการวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟต์ในบอสตัน กล่าวว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า อาหารที่กินเข้าไปอาจมีผลทันทีต่อพฤติกรรมความคิดของคนเรา
“สูตรลดน้ำหนักแบบจำกัดหรืองดอาหารประเภทแป้งมีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะทำให้เกิดผลลบต่อการคิดและกระบวนการรับรู้”
การศึกษาชิ้นนี้เน้นที่ผลกระทบของการลดน้ำหนักแบบจำกัดคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อพลังสมอง โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้หญิงอายุ 22-55 ปี จำนวน 19 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่มๆ หนึ่งจำกัดอาหารประเภทไขมัน อีกกลุ่มจำกัดคาร์โบไฮเดรต
ผลปรากฏว่าภายในหนึ่งสัปดาห์ ผู้หญิงสิบคนที่จำกัดอาหารประเภทแป้งทำคะแนนทดสอบการทำงานของสมองได้น้อยกว่าอีกกลุ่ม โดยการทดสอบมุ่งที่สมาธิ ความจำระยะสั้นและระยะยาว ความสนใจในการมอง และความจำจากการเรียนรู้และการทำความเข้าใจ
ทั้งนี้ กลุ่มที่จำกัดคาร์โบไฮเดรตจะทำคะแนนจากภารกิจความจำได้น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่จำกัดไขมัน เวลาในการตอบสนองช้าลงเช่นกัน ขณะที่ความจำจากการมองเห็นไม่ดีนัก แต่ทำคะแนนในการทดสอบความสนใจระยะสั้นได้ดี และไม่มีความแตกต่างในส่วนระดับความหิวระหว่างทั้งสองกลุ่ม
นักวิจัยกล่าวในวารสารแอปเพไทต์ว่า สูตรอาหารที่จำกัดแป้งอาจไปลดจำนวนกลูโคส หรือระดับเลือดในน้ำตาลที่ส่งไปเลี้ยงสมองและให้พลังงานแก่เซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทมีพลังน้อยลง
“แม้มีการติดตามผลเพียงสามสัปดาห์ แต่ข้อมูลที่ได้บ่งชี้ว่าอาหารอาจส่งผลต่อเรามากกว่าเรื่องของน้ำหนักตัว
“สมองต้องการกลูโคสเพื่อให้พลังงาน และอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำอาจบั่นทอนการเรียนรู้ ความจำ และการคิด”

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2551 13:12 น.

เล่นเกมส์ เตตริส สกัดทุกข์

เดลิเมล์ – นักวิจัยเมืองผู้ดีพบการเล่นเกม ‘เตตริส’ ของนินเทนโดในคอมพิวเตอร์ ช่วยลบความทรงจำเลวร้ายและความเครียดหลังโศกนาฎกรรมเจ็บปวด
นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดศึกษาจากอาสาสมัครที่ดูหนังที่มีฉากการบาดเจ็บและล้มตาย และให้อาสาสมัครครึ่งหนึ่งเล่นเกมสิบนาทีหลังหนังจบครึ่งชั่วโมง ซึ่งพบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่ได้ดูหนังนึกถึงภาพเหตุการณ์เลวร้ายในหนังน้อยกว่าอีกกลุ่ม เชื่อว่าเป็นเพราะเกมอาจช่วยสกัดไม่ให้ความทรงจำนั้นถูกบันทึกในสมอง
นักวิจัยเผยว่าที่เลือกเกมเตตริสเพราะต้องการให้ผู้เล่นใช้พื้นที่สมองส่วนใหญ่ เนื่องจากเกมนี้กำหนดให้ผู้เล่นต้องย้ายและจัดอิฐสีลงช่องให้ถูกต้อง และเชื่อว่าการค้นพบนี้อาจนำไปสู่วิธีใหม่ในการบำบัดเหยื่อความรุนแรง
อย่างไรก็ดี นักวิจัยยอมรับว่ายังไม่รู้ว่าเกมคอมพิวเตอร์อื่นๆ จะให้ผลในแบบเดียวกันนี้หรือไม่

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มกราคม 2552 11:10 น.

 

Desenvolvido por EMPORIUM DIGITAL