วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

เพื่อนเก่าในกาลเวลา

เช้าวันอันแสนธรรมดาๆ วันหนึ่ง เจ้าโกมล หรือ “ไอ้เหยิน” ย่อมาจาก “ไอ้ฟันเหยิน” อดีตเพื่อนไม่สนิทในชั้นเรียน ของโรงเรียนมัธยมชายล้วนย่านสะพานปลา บางรัก โทรศัพท์มาหาที่ทำงาน

แปลกใจเล็กน้อยว่ามันไปได้เบอร์ผมมาจากไหน เพราะร้อยวันพันปี มันกับผมไม่เคยได้ติดต่อกันเลย ยาวนานกว่า 10 ปีแล้ว เห็นจะได้

1

ข้อความจากปลายสาย บอกว่า ตอนนี้มันทำมาหากินเป็นทนายความ ผมเป่าปากพรืดอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าไอ้เหยินไม่ได้ขายประกันหรือแอมเวย์!

“คือ ยังงี้ พวกกู ซึ่งได้แก่ ไอ้เอ ไอ้สูจน์ ไอ้เมธ มึงคงจำพวกมันได้ จะจัดงานสังสรรค์เพื่อนมัธยมของเรา ในวันที่ 22 ที่จะถึง พวกกูคิดเชิญเพื่อนรุ่นเราที่ได้ดิบได้ดีมางาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ คบๆ กันไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน” เจ้าของเสียงหยุดกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่

“และงานนี้นะโว้ย มึงจำไอ้เจี่ย หัวหน้าห้องได้หรือเปล่าวะ ตอนนี้ มันจบดอกเตอร์มาจากญี่ปุ่น และเป็นที่ปรึกษาบริษัทด้านกฎหมายของบริษัทญี่ปุ่น โห... กินเงินเดือนเป็นแสนๆ มันให้เกียรติเป็นประธานจัดงานด้วยนา” ไอ้เหยินรัวยิบ จนผมกังวลว่า คำพูดจะพันคอมันตายไปเสียตรงหน้า

“เพื่อนนักเรียนรุ่นเราได้ดีกันหลายคน ใหญ่ๆ โตๆ กันเกือบทั้งนั้น มึงก็ใช่ย่อย เป็นถึงครูบาอาจารย์มหา’ลัย”

วินาทีนั้น ผมเผลอทวนคำพูดของไอ้เหยินขึ้นมาช้าๆ “รุ่นเราได้ดีกันหลายคน ล้วนแล้วแต่ใหญ่ๆ โตๆ กันเกือบทั้งนั้น” พลางตั้งคำถามกับตัวเองว่า

“แล้วพวกเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ใหญ่ๆ โตๆ ในความหมายของไอ้เหยินมันละ ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง”

ในตอนนั้นเองที่ใจผมประหวัดหวนนึกไปถึง “ประชา” เพื่อนรักผู้พิการขึ้นมาอย่างประหลาด นับจากวันประกาศผลเอนทรานซ์เมื่อหลายปีก่อน ผมเองก็แทบลืมเลือนเพื่อนคนนี้ไปจากความทรงจำ

“มึงได้ข่าวประชาบ้างหรือเปล่าวะ ? ” ผมถามไอ้เหยิน หลังถอนหายใจยาว

ปลายสายอุทานขึ้นแผ่วเบา “ใครว้า” ไอ้เหยินใช้เวลาเนิ่นนานครุ่นคิด ราวกับว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยในชีวิต

“อ้อ ไอ้บอดนั่นนะเหรอ เออวะ กูไม่ได้ข่าวมันเลย เฮ้ย ! มันเอนท์ไม่ติดนี่หว่า ไม่รู้มันไปทำอะไรเหมือนกันว่ะ ไม่ได้ข่าว ช่างเหอะ ว่าแต่มึงจะไปงานนี้หรือเปล่าวะ...เฮ้ย...มึงฟังกูอยู่หรือเปล่ า”

ในตอนนั้น ผมคล้ายว่า ไม่ได้ยินคำพูดต่อๆ มาของไอ้เหยินอีกแล้ว ความคิดคำนึงดำดิ่งกลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้ง ภาพอดีตผุดพรายขึ้น ชัดเจนราวกับว่าผมกำลังนั่งดูละครโทรทัศน์หลังข่าวยามค่ำคืน...

2

เมื่อวันแรกของการเปิดภาคเรียนในชั้นมัธยม ผมเห็นภาพแม่วัย 40 ปลายๆ จูงมือผมที่ตอนนั้นยังตัวเล็กเท่าสะเอวของแม่ เก้ๆ กังๆ ตามประสาคนไม่เคยออกไปไหนไกลเกินกว่ารั้วบ้าน ก้าวขึ้นรถเมล์โทรมๆ คันหนึ่ง มุ่งสู่โรงเรียนมัธยมหลังใหม่ที่ไกลกว่าโรงเรียนประถมหลังเก่า ที่เพียงเลยซุ้มเฟื้องฟ้าสีสวยหน้าบ้านไปก็ถึงแล้ว

บนรถเมล์คันนั้น แม่งกๆ เงิ่นๆ หยิบเหรียญเงินที่ชายพกผ้าถุงยื่นให้กระเป๋ารถเมล์ ที่ชักสีหน้าไม่พอใจในความเชื่องช้า ผมรู้สึกสงสารแม่จับใจ แม่ผู้ไม่ค่อยรู้หนังสือหนังหา แต่เพียรทำทุกทางเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ

แม่นั่งนับป้ายรถเมล์ไปเรื่อยๆ ทีละป้าย ทีละป้าย และเมื่อถึงป้ายที่ 8 ซึ่งเป็นป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน แม่ในอาการตื่นๆ ก็รีบแหวกผู้คนพาผมลงจากรถเมล์ เก้ๆ กังๆ ไม่แพ้ตอนขึ้นมาสักเท่าไร เราสองคนจูงมือกันเดินอ้อยอิ่งผ่านตึกเรียนสีขาวหลังใหญ่หลายหล ัง ที่โอบล้อมสนามซีเมนต์ทั้งสี่ด้าน มาหยุดยืนหน้าห้องเรียนที่มีป้ายไม้เล็กๆ สีเขียวแก่ มีตัวอักษรสีขาวเขียนไว้เหนือประตูทางเข้าว่า “ม.1/3”

สักพัก แม่จึงจากผมไปเพื่อกลับบ้าน และก่อนที่ร่างแม่จะเลือนหายไปพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆ ผมก็รีบวิ่งออกไปที่หน้าห้องเรียน ตะโกนเรียกแม่เสียงหลง

“แม่ครับ สาย 1 ถนนตก-บางรัก นะแม่ ไม่ใช่สาย 22 อย่าลืมนะ เดี๋ยวจะหลงทางเหมือนวันที่มาดูผลสอบอีก”

แม่หันมายิ้มและพยักหน้าให้ด้วยท่าทีเงอะงะชวนสงสาร ก่อนหมุนร่างจากไป ผมมองดูแม่จนลับตา แล้วจึงกลับไปรวมกลุ่มกับเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกัน เกือบ 50 คน และหลายคนในพวกเขาเหล่านี้ได้กลายมาเป็นเพื่อนรักของผมในเวลาต่ อมา รวมทั้งประชา เด็กน้อยสมองทึบทึม และนัยน์ตาข้างซ้ายบอดสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ผู้รักกีฬาฟุตบอลเท่าชีวิต !

3

ในตอนเป็นเด็กขนาดนั้น เราทุกคนต่างมีความฝันผิดแผกแตกต่างกันออกไป บางคนฝันเป็นหมอ ทหาร ตำรวจ แต่สำหรับประชาเพื่อนผู้พิการของผม เขาฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย

“ฐานะก็ยากจน แถมยังเป็นคนโง่ที่สุดในห้อง จะตกมิตกแหล่ จะฝันให้ไกล เป็นอะไรดีๆ เหมือนกับคนอื่นเขา มันคงยาก เป็นนักฟุตบอลทีมชาตินี่ละว่ะ เห็นทีจะเข้าท่าสุดแล้วสำหรับเรา”

ประชาบอกฝันให้ผมฟังในค่ำคืนที่พราวไปด้วยแสงดาววิบวับ ขณะที่เราทั้งสองกำลังนอนดูท้องฟ้าที่สนามหญ้าหน้าค่ายลูกเสือว ชิราวุธ จังหวัดชลบุรี เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ชั้น ม.3

“แต่ นาย เออ... ตาบอดนะ” ผมติงเขาให้ได้คิด

“แต่เราตาบอดข้างเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราต้องไปถึงฝั่งฝันของเราให้ได้ เชื่อเหอะ” เขาเถียงผมอย่างดื้อรั้น ในตอนนั้น หัวใจของผมสั่นระริกขึ้นมาด้วยความเศร้า เมื่อได้ฟังฝันของเขา เพราะในความจริงแล้ว มันช่างลางเลือนซะเหลือทน

หว่างฟ้ามืดในค่ำคืนนั้น ผมคล้ายแลเห็นฝันของประชา มันลอยเคว้งคว้างไปค้างเติ่งติดอยู่ที่ดวงดาวดวงหนึ่งที่อยู่ไก ลเกินสุดสายตา

“ฝันของเจ้า มันช่างไกลเสียจริงๆ หนอ ประชาเอ๋ย” ผมกระซิบฝากสายลมไปสู่ดวงดาวดวงนั้นของประชา

4

ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เราหลายคนในชั้นจะรวมตัวกันไปเล่นฟุตบอล ที่ลานดินของวัดฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ทุกคนจะเตรียมเสื้อฟุตบอลมาจากบ้านและผลัดเปลี่ยนกันที่นั่น และ ณ ที่แห่งนั้น เราจะสังเกตความชื่นชอบทีมฟุตบอลของแต่ละคน ได้จากเสื้อยืดที่ใช้สวมใส่เล่นฟุตบอลกัน

สำหรับประชาเอง เขาชอบที่จะใส่เสื้อสีแดงสด ที่มีธงชาติไทยเล็กๆ แปะติดไว้ตรงหน้าอกด้านซ้าย เขาตั้งฉายาให้กับตัวเองอย่างน่าขนพองสยองเกล้าแกมขบขันในหมู่พ วกเราว่า “ไอ้บอดดินระเบิด” ขณะเล่นกันเอง เราแบ่งข้างกันเล่นแบบที่เรียกกันในหมู่เด็กๆ อย่างเราว่า “โกล์รูหนู” เพียงเอากระป๋องนมเปล่า ก้อนหินเก่า วางกองสุมเป็นเสาประตูกว้างราว <?:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:smarttags" />3 ฟุต ไม่ต้องมีผู้รักษาประตูคอยเฝ้า แค่นี้ลานวัดก็กลายเป็นสนามฟุตบอลเล็กๆ อันแสนวิเศษของพวกเราไปโดยปริยาย

ในการเล่น เราจะแบ่งคนที่เล่นฟุตบอลเก่งและไม่เก่งถัวๆ กันไป พวกเราล้วนไม่ได้คิดจริงจังกับเกมการแข่งขันแพ้ชนะกันมากนัก (แต่ชนะได้ก็จะดี) และในหมู่ของพวกเรา ประชาหรือในสมญานามว่า ไอ้บอดดินระเบิด คือคนที่แข็งแรงสุด เตะหนักสุด ด้วยพละกำลังที่พระเจ้าประทานให้ ราวจะทดแทนความผิดพลาดที่ทรงลืมประทานดวงตาข้างซ้ายให้เขามาตั้ งแต่กำเนิด

ผมยังระลึกได้ถึงภาพที่ไอ้บอดดินระเบิดกับเสื้อยืดสีแดงที่มีธง ชาติไทยปักอยู่ที่หน้าอก วิ่งเอียงๆ โดยใช้ตาข้างขวาเป็นเรด้าร์ นำทางเข้าหาลูกฟุตบอลที่เกลือกกลิ้งอยู่บนลานวัด ขณะที่ตาข้างซ้ายที่บอดจะปะหลับปะเหลือกขึ้นลงอย่างน่าเวทนา สำหรับผม มันช่างเป็นภาพที่น่าขันและน่าหดหู่ใจไปพร้อมๆ กัน

ครั้งใด ที่มีนักเรียนโรงเรียนใกล้ๆ มาท้าแข่งเพื่อชิงสนาม หรือพนันเงิน ทีมนักฟุตบอลลานวัดของเราก็จะคัดเอาเฉพาะคนเก่งที่สุด ลงเล่นต่อกรด้วย ส่วนคนไม่เก่งก็จะกลายเป็นกองเชียร์อยู่ข้างสนาม และในบรรดาคนเหล่านี้จะรวมไปถึงประชาด้วยคนหนึ่งเสมอ

“ให้เราลงเล่นเป็นตัวจริงเหอะวะ รับรองไอ้พวกนี้กระจุย” ประชามักทำเสียงออดอ้อนกับผม ที่ชอบทำตัวเป็นหัวหน้าทีมเสมอ และได้ผล ประชาจะได้ลงเล่นทุกครา แต่ก็ทุกครั้งอีกเช่นกัน เพียงแค่สายลมพัดผ่าน เขาก็จะถูกเปลี่ยนตัวออกจากเกม เพราะประชามักเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ทีมของเราต้องเสียประตูอยู่เป ็นนิจ

“เฮ้ย ไอ้บอด ไอ้สมองหมาปัญญาควาย มึงนะออกไปเลย ไอ้ห่าแม่งง...มีแต่แรง” เสียงตะโกนเช่นนี้ของใครบางคนจะดังขึ้นอยู่บ่อยๆ จากนั้นประชาก็จะเดินคอตกหน้าละห้อยออกจากสนามไปเป็นกองเชียร์

บอกตามตรงครับ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า จะมีโค้ชฟุตบอลทีมชาติไทยคนใด ที่อยากได้นักฟุตบอลที่มีดวงตาเพียงข้างเดียว และปราศจากฝีมืออย่างประชาเอาไว้ในทีม

ยิ่งคิดหัวใจของผมก็สั่นระริกด้วยความเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง!

5

คืนวันผันผ่านพาพวกเราทั้งหลายล่วงสู่ความสุข เศร้า เหงา และทุกข์ในวัยเรียนมาด้วยกัน ปีแล้วปีเล่า จนมาถึงวันประกาศผลเอนทรานซ์ พวกเราส่วนใหญ่ล้วนสอบติด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบไม่ได้ ประชาเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนส่วนน้อยนั้น

อนิจจา! เทพีแห่งโชค (ร้าย) มักอยู่กับประชาเสมอ

“เอนท์ไม่ติดก็ไม่เป็นไรหรอกวะ เราจะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติให้ได้ ไม่ต้องห่วง นายคอยดูเราในทีวีแล้วกัน” ประชาให้สัญญากับผม ซึ่งฟังไปแล้วคล้ายคำสั่งลาและอาลัยเสียมากกว่า เพราะนับจากวันนั้น พวกเราแต่ละคนต่างก็เดินไปสู่ดวงดาวแห่งฝันที่ทุกคนได้มุ่งหมาย เอาไว้ ต่างคนต่างหลงระเริงไปกับเพื่อนใหม่ และโลกใบใหม่ภายในรั้วมหา’ลัย ที่สดใส มากสีสัน และสวยกว่าโรงเรียนมัธยมของเรา มีบ้างบางครั้งคราที่เราจะติดต่อถึงกันทางโทรศัพท์ แต่จากนานๆ ครั้ง จนกลายเป็นไม่มีเลยสักครั้งไปในที่สุด

ผมไม่รู้จริงๆ ครับว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเราและผม

เราหลงลืมคืนวันอันแสนสุขเหล่านั้นไปได้อย่างไร?

6

“ฮัลโหล ฮัลโหล เฮ้ย! นี่มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะ กูถามมึงหลายทีแล้วนะว่า ตกลงมึงจะไปงานเลี้ยงรุ่นของพวกเราหรือเปล่าวะ”

เสียงของไอ้เหยินที่ดังระรัวผ่านสายโทรศัพท์พาผมกลับมาสู่ปัจจุ บัน ผมตอบตกลงมันไปในที่สุด

7

ในห้องจัดงานเลี้ยงของโรงแรมหรูในวันสังสรรค์เพื่อนนักเรียนเก่ า ที่เต็มไปด้วยไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ เสียงดนตรี และเสียงสรวลเสเฮฮา

ผมยินเสียงพร่ำบอกกันถึงธุรกิจพันแปดร้อยล้าน และความสำเร็จของเพื่อนเก่าหลายคน ที่บัดนี้กลายเป็นคนใหญ่ๆ โตๆ ฟุ้งกระจายเกลื่อนไปทั่วห้องหับจัดงานเลี้ยง แต่ผมกลับมองไม่เห็นเพื่อนเก่าๆ อีกหลายคน คิดไปเองว่า พวกเขาคงไม่ได้เป็นคนใหญ่ๆ โตๆ ละกระมัง เลยไม่ได้รับเชิญ รู้สึกหดหู่และอ้างว้างขึ้นมาเป็นกำลัง

งานใกล้เลิกแล้ว เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของผู้คนซึ่งผมไม่ชอบ ผมจึงคิดชิงกลับก่อน ขณะย่ำเดินออกจากห้องจัดงานเลี้ยง ผมก็บังเอิญมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงปากประตู เสื้อฟุตบอลสีแดงซีดซอมซ่อกับธงชาติไทยบนหน้าอกด้านซ้าย ที่เขาสวมใส่อยู่ สะดุดใจผมเป็นอย่างยิ่ง ชายคนที่ว่าผลุนผลันเดินหนีไปจาก ณ ที่ตรงนั้นทันที เมื่อรู้ว่ามีผมจ้องมองอยู่

บางอย่างในความทรงจำฉุดกระฉากตัวผมให้รีบตามไป และตัดสินใจตะโกนเรียกเขาในเวลาต่อมา

“เดี๋ยวครับ คุณ หยุดสักเดี๋ยวเถอะครับ”

เสียงของผมทำให้ชายคนนั้นชะงักเท้าหยุดนิ่งราวกับรูปปั้น ก่อนค่อยๆ หันร่างมาเผชิญหน้ากับผม

และจากแสงไฟสีเศร้าระหว่างทางเดินของโรงแรม แล้วผมก็ได้แลเห็นใบหน้าของเขาอย่างถนัดถนี่ พลันภาพเด็กน้อยสมองทึบทึม และนัยน์ตาข้างซ้ายบอกสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ผู้รักกีฬาฟุตบอลเท่าชีวิตเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งมาบัดนี้ได้กลับมายืนตรงเบื้องหน้าของผมอีกครั้ง !

8

เราสองคนยืนจ้องหน้ากันนิ่งเนิ่นนาน และในความเงียบงันนั้น ผมพินิจร่างซูบผอม กับใบหน้าที่แก่เกินอายุจริงด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ

ประชาเอ่ยกับผมว่า รู้ข่าวการเลี้ยงสังสรรค์จากข่าวสังคมในหน้าหนังสือพิมพ์ จึงอยากมาร่วมรำลึกความหลังเก่าๆกับเพื่อนเก่าๆ ด้วย แต่ครั้นพอมาถึงงาน ก็กลับไม่กล้าเข้าไป เมื่อนึกถึงสารรูปตัวเอง เขาบอกด้วยว่า หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขามุ่งมั่นฝึกซ้อมที่จะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติให้จงได้

“แต่เราไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติหรอกเพื่อน ใครเขาจะมาสนใจนักฟุตบอลพิการอย่างเรา ตอนนี้ก็ได้แต่เป็นผู้ดูแลสนามและอุปกรณ์ฟุตบอลให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนเล็กๆ ในต่างจังหวัด พอเลี้ยงตัวกับลูกเมียได้ไปวันๆ” ประชาพูดจบ น้ำตารื้นขึ้นมาที่ดวงตาข้างที่ไม่บอด พร้อมกับพยายามหลบหน้า ซ่อนน้ำตาเอาไว้

“ช...ช...ช่างมันเถอะ ช่างมัน ไม่เป็นไรหรอก บางครั้ง ความจริงมันก็ผกผันกับความฝันอย่างนี้แหละ แต่ถึงไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะยังไงซะ นายก็ยังเป็นไอ้บอดดินระเบิดในความทรงจำของพวกเราอยู่เสมอ...”

ผมกลั้นสะอื้นกล่าวออกไป น้ำเสียงขาดหายขึ้นมาเฉยๆ ก่อนแข็งใจกล่าวต่อว่า

“...และที่สำคัญ เรายังคงเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

พูดจบ จึงยื่นมือไปตบบ่าประชาเพื่อนเก่าอย่างปลอบโยน ก่อนกอดคอพาเขาเข้าสู่งานเลี้ยงที่ใกล้เลิกราเต็มที

ระหว่างเดินกลับไปสู่งานเลี้ยงเพื่อนนักเรียนเก่า เม็ดน้ำตาแวววาวดุจดังดวงดาวบนฟากฟ้ายามนั้น ที่สะกดกลั้นเอาไว้ตั้งแต่แรกที่พบกับประชา พลันก็ไหลพรั่งพรูสู่พรมสีดำนั้นไปตลอดทาง น้ำตาแห่งความเสียใจที่ว่า

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมลืมเลือนเพื่อนเก่าผู้แสนอาภัพของผมคนนี้ไปได้อย่างไรกันหนอ?”

................................................

Edited by รัน*

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Desenvolvido por EMPORIUM DIGITAL