วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

หางวาตภัย

สมัยเด็ก ๆ  ฉันค่อนข้างหัวรั้นและเอาแต่ใจตนเอง เมื่อถูกใครเขาดุด่าก็มักจะน้อยอกน้อยใจจนหน้าคว่ำหน้างอราวกับ เด็กผู้หญิง  โดยเฉพาะกับพ่อ เพราะคิดว่าพ่อรักน้องสาวมากกว่า   ทั้ง ๆ ที่พ่อเป็นคนใจดี รักครอบครัวและญาติมิตรเป็นที่หนึ่ง
ต่อเมื่อฉันเติบโตและได้ย้อนกลับไปคิดใคร่ครวญเสียใหม่  ก็พบว่า  นอกจากพ่อจะเป็นคนที่มีน้ำจิตน้ำใจสำหรับทุก ๆ คนแล้ว พ่อของฉันก็ยังเป็นคนร่าเริง  อ่อนไหว  รักและชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ   ซึ่งประจักษ์แก่ฉันมาแล้วเมื่อครั้งอดีตที่ฉันยังเยาว์ ์วัย    และฉันยังจำไม่ลืม

       ในสมัยนั้นเมื่อมีง านลงแขกเก็บเกี่ยวข้าวในไร่นา   พอเสร็จจากงานพ่อกับเพื่อน ๆ ก็มักจะตั้งวงดื่มน้ำขาวสนุกสนานเฮฮาแก้เหนื่อยกันเป็นประจำ

   อันว่าน้ำขาว หรือกระแช่ นั้น พ่อของฉันหมักขึ้นเองด้วยน้ำหวานของต้นชกกับเปลือกไม้เคี่ยม ซึ่งได้มาจากป่า 

               หมักไว้เป็นโอ่ง  ไม่ขาดบ้าน  สรรพคุณก็เลื่องลือ...

ทุกครั้งที่พวกเขาตั้งวงน้ำขาว   เมื่อดีกรีของมันออกฤทธิ์ได้ที่ก็มักจะชวนกันขับร้องฟ้อนรำเพลงรองแง็ง หรือไม่ก็ขับบทลิเกป่า   ตีรำมะนา   ตีทับ   เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง

         “ตันย่ง ตันย้ง กำปงลาน้อง เจ้าชู้ดอกแก้ว
ถ้าน้องไม่รักพี่บังแล้ว พี่บังไม่แคล้วต้องกินยาตาย...(สร้อย)
บังหลับตาไม่ลง พะวักพะวง ใจคว่ำ ใจหาย

พี่บังไม่แคล้วกินยาตาย ถ้าไม่ได้น้องสาวมาทำเมีย...(สร้อย)

เพื่อนของพ่อ ชื่อ ตาหนวง เมื่อถูกดีกรีน้ำขาวแผลงฤทธิ์  ก็จะต้องลุกขึ้นรำป้อเสียทุกที   ตัวแกเล็กนิดเดียว  แต่ท่ารำอ่อนช้อยเข้าจังหวะ  ปากก็ขับสร้อยรองเง็ง...
         “หน่อยนอย นอยน้อย นอยน้อย น้อยนอย น้อยนอย นอยน้อย..”
ฉิ่ง ทับ รำมะนา ของพวกลูกคู่ก็บรรเลง ฉิ่งปับ  ฉิ่งปับ  ๆ ให้จังหวะเร่าร้อนจนฉันนึกอยากจะกระโดดออกไปเต้นกับเขาบ้าง

น้องสาวของฉันชอบนั่งดูพวกเขาร้องรำทำเพลง  ตอนนั้นเ ธอเพิ่งหัดพูด  เพิ่งออกเสียงได้แค่พยางค์ สองพยางค์
           “ตาหนวง รำ ตาหนวง รำ”  เธอชี้ไปที่ตาหนวง แล้วหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

พ่อของฉันทั้งร้องทั้งรำเข้ายาหมดทุกขนาน ส่วนเรื่องดนตรีพ่อจะชอบปี่และขลุ่ยเป็นพิเศษ ถึงกับลงทุน ขุด เจาะ ด้วยตนเอง เลาไหนเสียงดีพ่อก็จะเก็บไว้  อันไหนเสียงเพี้ยนไปหน่อยใครมาขอพ่อก็ให้เขาไป “ให้มือสมัครเล่นเอาไปฝึก...” พ่อไม่เสียดาย
คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่เหนือผืนไร่ด้านทิศตะวันออก แม่พาน้องสาวเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ส่วนฉันกับพ่อนั่งชมจันทร์กันอยู่ที่นอกชาน พ่อเป่าขลุ่ยส่งเสียงกังวานไปทั่วทั้งผืนป่า น้ำค้างพร่างพรม หิ่งห้อยกระพริบแสงแข่งจันทรระยิบระยับอยู่รอบบ้าน...

ฉันเพลินนั่งชมความงามรอบกาย  เคล้าคลอเสียงขลุ่ยของพ่อจนเคลิบเคลิ้มง่วงหาว... จึงค่อย ๆ กระเถิบคลานเข้าไปหนุนตักพ่อนอน

บนท้องฟ้าดวงดาวเปล่งแสงระยิบระยับแข่งกับดวงพระจันทร์ ลมเย็น ๆ พัดมาเอื่อย มาลูบไล้ผิวกายคนผอมแห้งอย่างฉันบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ และเมื่อได้ยินเสียงสัตว์ป่าออกมาคำรามร้องอยู่ใกล้ ๆ สอดแทรกเสียงขลุ่ยของพ่อขึ้นมา ฉันก็รู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
พ่อถอนขลุ่ยออกจากปาก เหมือนกับจะรู้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดกลัว  “เสียงมูสังแปลงน่ะลูก ตัวมันเล็กกว่าไอ้เบี้ยวที่ใต้ถุนเสียอีก  เพียงแต่เสียงมันใหญ่เหมือนเสือ ลูกไม่ต้องกลัวมัน”
พอได้ยินพ่อเอ่ยถึงไอ้เบี้ยว  หมาซึ่งนอนเป็นยามระแวดระวังภัยอยู่ที่ใต้ถุนเรือน ฉันจึงค่อยอุ่นใจและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว... แต่สักพักก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกอกตกใจ เมื่อรู้สึกว่าหัวของฉันไม่ได้หนุนตักพ่ออยู่ อีกทั้งยังได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกพ่อด้วยความตื่นตระหนกอยู่ใก ล้ ๆ ผสานกับเสียงเห่ากระโชกของไอ้เบี้ยวที่ดังมาจากริมไร่หน้าบ้านร าวกับจะกินเลือดกินเนื้อใครสักคน
เมื่อฉันหายงัวเงียและลืมตาขึ้นมา  ก็พบว่าตัวเองยังคงนอนตากน้ำค้างพร่างหนาวอยู่ที่เดิม  ส่วนพ่อนั้นฉันเห็นแม่กำลังประคองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอายาลมละลายน้ำใส่ ช้อนเขียวกรอกปากให้กิน พลางร้องตะโกนเรียกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ให้รีบมาช่วยกัน
           “วู้.... ลุงอิน ลุงอิน... ลุงทอง บ่าวรุ่ม วู้...ช้างเถื่อนเข้าไร่ฉันแล้ว มาช่วยกันเร็ว เร็ว”
ฉันลุกขึ้นนั่งและเหวี่ยงสายตาไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นผืนไร่ข องเรา... ท่ามกลางแสงจันทร์และหมู่ดาวที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า ที่ริมขอบไร่อันกว้างลิบติดกับแนวป่าหน้าบ้านของเรา ฉันเห็นโขลงช้างป่านับสิบเชือกกำลังเหยียบย่ำและหักกินพืชไร่กั นอย่างเมามัน ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่   มองเห็นชัดเจนไปแต่ไกล ครั้นพอพวกมันได้ยินเสียงโห่ไล่จากเพื่อนบ้านของเราดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงปืนแก๊ปที่ส่องขึ้นฟ้า โป้ง ป้าง อีกสามสี่นัดพวกมันก็พากันล่าถอยเข้าป่าลึกไป
ตาอิน ตาทอง ยายเขียว ตารุ่ม แห่ตามหลังกันมาที่บ้านของเรา   เว้นแต่ยายเขียวคนเดียวที่ถือมีดพร้า นอกนั้นถือปืนแก๊ปกันมาทุกคน เมื่อได้เห็นอาวุธปืนป้องกันภัย พร้อมกับได้เห็นหน้าค่าตาของเพื่อนบ้านที่ยกทีมมาช่วยกันอย่างพ ร้อมเพรียง ก็ทำให้ฉันฝืนยิ้มออกมาได้  ไอ้ที่กลัวจนตัวสั่นอยู่เมื่อครู่ก็ค่อย ๆ ทุเลาหายไป

“ฉันกำลังนอนให้ลูกสาวกินนมอยู่ ได้ยินเสียงพี่ร้องโห่ไล่ช้างเฮ้ว ๆ ขึ้นสองสามครั้ง แล้วเงียบไป  เลยลุกออกมาดู ... ท่าจะแผดเสียงมากไป”  แม่พูดให้เพื่อนบ้านฟัง หลังจากยกเชี่ยนหมากกับยาเส้น และน้ำเย็นในโอ่งออกมาต้อนรับอีกขันหนึ่ง... พ่อนั่งดมยาดมอยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่ากระไร
ตาทองหันมาล้อฉันว่า “พ่อเอ็งโห่ช้างจนเป็นลม เอ็งกลับไม่ตื่น ระวังไว้นะ นอนเซาแบบนี้ มูสังจะย่องมากัดเจี๊ยวเข้าสักวัน”

ตอนนั้นฉันอายุ 6 ขวบ ยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน ยังอาศัยอยู่กับพ่อที่เรือนไม้กลางป่าใหญ่ นาน ๆ พ่อจะพาฉันออกไปเที่ยวบ้านย่า และพาไปหาซื้อขนมอร่อย ๆ จากร้านค้าแถวนั้นให้ฉันกินสักครั้ง พ่อบอกว่าเมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียนฉันก็จำเป็นจะต้องไปอาศัยอยู ่กับย่า กับปู่ และอาสาว ซึ่งบ้านของท่านอยู่ใกล้โรงเรียน...
ฉันคิดถึงวันนั้น ซึ่งมันกำลังจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า ความเงียบเหงาวังเวงก็คืบคลานเข้ามาเกาะกุมหัวใจของฉันทันที
ฉันอยากอยู่กับพ่อที่บ้านไร่ ไม่อยากจากไปไหนเลย

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2505 วันมหาวิปโยค เกิดมหาวาตภัยขึ้นที่แหลมตะลุมพุก…
พ่อของฉันออกไปธุระที่ตลาดตะกั่วป่าตั้งแต่เช้า กระทั่งเย็นย่ำนกกาเพรียกร้องหารังพ่อก็ยังไม่กลับมา... เราสามคนแม่ลูก แม่ ฉัน และน้องสาว นั่งรอพ่ออยู่ที่หัวกระไดนอกชาน ขณะที่เมฆฝนบนฟ้ากำลังก่อตัวมืดครึ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ ทั่วทุกสารทิศนอกจากเสียงนกกาที่บินร้องกลับรังก็ไม่มีเสียงอื่ นสอดแทรกมาให้ได้ยิน
มันเป็นความสงบเงียบที่น่าสะพรึงกลัว  ราวกับลางสังหรณ์
แม่ของฉันนั่งน้ำตาเอ่อคลอจนฉันนึกแปลกใจ...
         “แม่ร้องไห้ทำไม?”  ฉันใจไม่ดี
แม่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
          “พ่อ ?”
            “พ่อยังไม่เสร็จธุระ”  แม่ปลอบใจฉัน  “เราเข้าไปนั่งรอพ่ออยู่ข้างในบ้านกันดีกว่า...”
แม่อุ้มน้องสาวเดินลอดประตูเข้าไปข้างใน ฉันถือมีดพร้าด้ามเล็ก ๆ เดินตามไปติด ๆ
ภายในบ้านมืดขมุกขมัว แม่หยิบตะเกียงน้ำมันก๊าดที่วางอยู่ตรงชายฝาหัวนอนมาวางไว้กลาง บ้าน  แล้วก็เอาเหล็กไฟตัวเล็ก ๆ ประจำบ้านเปิดฝาครอบติดไฟจะจุดตะเกียง ทว่ากระแสลมที่เริ่มแผ้วพานเล็ดลอดขึ้นมาตามร่องฟาก กระพือพัดเปลวไฟจากไส้เหล็กไฟในมือของแม่ดับวูบลง
แม้ว่าแม่จะใช้ความพยายามเอานิ้วหัวแม่มือดีดวงล้อกรีดถ่านเหล็ กไฟตัวนั้นสักกี่ครั้ง ๆ ก็มีแต่ประกายไฟซึ่งเกิดจากถ่านเหล็กไฟเท่านั้นที่พุ่งเป็นยวงย าวออกมา  แต่สำหรับด้ายชนวนเหล็กไฟก็มิปรากฏเปลวเพลิงขึ้นมาสักที  ทำให้เราสามคนแม่ลูกต้องทนนั่งอกสั่นขวัญแขวนท่ามกลงความมืดขมุ กขมัวด้วยความจำยอม กระทั่งกระแสลมที่พัดลอดซี่ฟากขึ้นมาจากใต้ถุนได้เพิ่มพลังแรงข ึ้น ลิงกังที่พ่อล่ามโซ่ไว้หลวม ๆ   เพื่อให้มันกระโดดโลดเต้นไปไหนได้สะดวกที่ต้นพลาข้างบ้าน ส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ
          “หู ร้อง แม่ หู ร้อง”  น้องสาวของฉันรักลิงกังตัวนี้มาก
           “อย่าส่งเสียงลูก อย่าส่งเสียง”
แม่คงจะหวั่นวิตกกับความวิปริตแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศในยามน ี้จนสุดขีด แม่จึงโอบกอดฉันและน้องสาวเข้าไปซุกแนบไว้กับอกของแม่อย่างแนบแ น่น
ฉันชำเลืองสายตาไปที่ประตูซึ่งยังเปิดแง้มรอพ่ออยู่  ผ่านวงแขนของแม่ข้างที่โอบกอดฉันไว้...
ข้างนอกท้องฟ้าแดงก่ำเป็นสีเลือด เสียงหวีดหวิวของพายุดังกึกก้องกัมปนาทราวกับแผ่นฟ้าผืนดินจะถล ่มทลาย เรือนไม้ของเราไหวยวบและเอนไปตามแรงกระแทกของกระแสลมที่พัดกระหน่ำลงมา และทันใดนั้นเอง  ฉันก็ได้ยินเสียงไม้ใหญ่ในราวป่าหักโค่น และล้มฟาดลงกับพื้นเสียงโครมครืน
ลิงหูบนต้นพลาข้างบ้านหวีดร้องเสียงแหลมราวกับจะขอความช่วยเหลือ
แต่... ถ้าพ่ออยู่ด้วย... น้ำตาของฉันเอ่อคลอเพราะนึกสงสารมัน
เมื่อพายุพัดถล่มสิ่งกีดขวางโค่นล้มระเนระนาดระลอกแรกผ่านไปแล ้ว ไม่นานระลอกที่สองก็ตามมาพร้อมกับเม็ดฝน   มันพัดกระหน่ำลงบนหลังคาจากบ้านเราเสียงโครม ๆ ราวกับจะบดขยี้ให้แหลกลาญ   เคราะห์ดีที่พ่อเอาลำไม้ไผ่วางทับไว้ถี่ยิบ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็คงจะพังทลายหลังคาของเราจนโล่งเตียนไปแล้ว

เสียพายุพัดอื้ออึง ทั้งฟ้าทั้งฝนโหมกระหน่ำติดต่อกันราวสามชั่วโมงก็ค่อยซาลง แม่จึงจุดตะเกียงได้สำเร็จ และในขณะเดียวกัน หูของฉันก็พลันได้ยินเสียงโว้ยว้ายโวยวาย  เหมือนภูตผีปีศาจกำลังผุดขึ้นจากหลุม ดังแว่วมาจากทิศทางบ้านตาอินกับ ตาทอง ทำให้ฉันซึ่งเป็นคนขี้ตื่นตกใจต้องหันไปมองหน้าแม่ แต่แม่กลับยิ้มเฉย
สักครู่ คนสามสี่คนก็ถือคบเพลิงแดงโร่เดินเรียงแถวมายังบ้านของเราด้วยส ภาพที่ย่ำแย่    เสื้อผ้าเปียกปอนและฉีกขาด บางคนมีแผลถลอกปอกเปิดตามเนื้อตัว คิ้วคางฟกมอ และปูดโปนเหมือนเอาผลมะกรูดลูกกลม ๆ แปะติดไว้
ตาอิน ถือคบเพลิงโขยกเขยกขึ้นกระไดเรือนผ่านนอกชานเข้ามานั่งในบ้านขอ งเราเป็นคนแรก แกพูดกับแม่ว่า “บ้านของมึงโชคดีที่มีแนวไผ่กั้นไว้ ช่วยต้านลม... บ้านของกูโล่งเตียนไม่มีอะไรเป็นเกราะกำบัง เลยโดนมันพังฉิบหายหมด” 
พ่อกลับมาถึงบ้านในสภาพของคนที่เพิ่งรอดตายภายหลังพายุพัดสงบได ้ไม่นาน ทุกคนยังนั่งกินหมากและสูบยาใบจากรอพ่ออยู่ รวมถึงฉันด้วย นั่งฟังเขากล่าวขวัญกันถึงเหตุร้ายที่เพิ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ  แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาจะพูดถึงมันด้วยความตลกขบขันมากกว่าความหว าดกลัว ทำให้ฉันยังรู้สึกงุนงงอยู่จนทุกวันนี้

ก่อนหน้านั้น แม่เอาผ้าถุงกับเสื้อของแม่ให้ยายเขียวผลัดเปลี่ยน ส่วนคนอื่นก็อาศัยผ้าโสร่งและผ้าขาวม้าของพ่อประทังกายกันไปพลา ง ๆ
พ่อกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกปอนและเปรอะเปื้อนขาดวิ่นไปท ั่วทั้งตัว ตามนิ้วมือนิ้วเท้า และแขนขาปรากฏร่องรอยของมีคมกรีดบาดจนเป็นแผลลึกถลอกเลือดไหลซึ ม คิ้ว คาง ฟกนูนเหมือนกับ ตาทอง ยายเขียว ส่วนข้าวของที่เคยถือติดมือกลับบ้านไม่เคยขาด  พ่อบอกทุกคนว่า  "เที่ยวนี้เหลือแต่ตัวเว้ย... พรรคพวก" 

เมื่อพ้นบันไดและผ่านนอกชานเข้ามาถึงข้างในด้วยสถาพิดโรย  พ่อถามแม่คำแรกว่า
          “ลูก ๆ ตกอกตกใจกันมากไหม?”
           “ไม่”   แม่สั่นหัว “ฉันกอดไว้แน่นทั้งสองคน... ลูกสาวหลับไปนานแล้ว”
พ่อเอามืออันเย็นเฉียบด้วยพิษหนาวเอื้อมมาลูบหัวฉันทีหนึ่ง แล้วเดินเลี่ยงไปหาน้องสาวที่นอนหลับอยู่ข้างใน สักพักฉันจึงได้ยินเสียงพ่อสะอื้นไห้
         “นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันแล้วลูกเอ๋ย”

พ่อเล่าว่า หลังกลับจากตะกั่วป่ามาทางทะเล พอก้าวขึ้นจากลำเรือที่ท่าน้ำบ้านย่า และเอาของฝากที่ซื้อมาฝากปู่กับย่าให้ไว้กับอาสาวแล้ว พ่อก็หิ้วข้าวของสามสี่อย่างที่ตั้งใจซื้อติดมือกลับบ้าน มุ่งหน้าเดินมาอย่างรีบเร่ง ระหว่างทางเมื่อเกิดพายุพัดกระหน่ำ   ต้นไม้หักโค่นลงขวางหน้า   ก็ทำให้ไม่กล้าที่จะฝืนเดินอีกต่อไป จึงได้แอบเข้าไปนั่งหลบอยู่บนขอนไม้ข้างกอไผ่ริมทาง ซึ่งคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว กระทั่งพายุระลอกสองหอบเอาเม็ดฝนฟาดกระหน่ำลงมาอีกครั้งอย่างรุ นแรง ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในก็หักโค่นลงมา ส่วนปลายของมันเหวี่ยงฟาดลงบนกอไผ่กอนั้นแบนราบ และสุมพ่อติดอยู่ข้างใน
          “มืดก็มืด กลัวก็กลัว“  พ่อว่า “ คลำหาทางออกสะเปะสะปะจนเข่าอ่อนกว่าจะหลุดออกมาได้ ข้าวของหลุดมือหาไม่เจอเลยสักชิ้น... เฮ้อ ไม่ตายก็บุญแล้ว”  พ่อหัวเราะทั้ง ๆ ที่ปากบวบเจ่อเหมือนโดนผึ้งต่อย
เหตุการณ์พายุโซนร้อนแฮเลียตพัดถล่มแหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช และฟาดหัวฟาดหางไปถึงบ้านไร่ของฉันที่จังหวัดพังงาในครั้งนั้น ได้สร้างความสูญเสียให้กับพ่อแม่พี่น้องทางภาคใต้ในโซนนั้นอย่า งใหญ่หลวง หลายร้อยชีวิตต้องสูญสิ้นไปกับความบ้าคลั่งของมัน และอีกหลายๆชีวิตที่รอดตายก็ต้องพบกับความสูญเสีย... บางคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องสูญเสียญาติมิตร พ่อ แม่ ลูกเมีย ทรัพย์สิน บ้านเรือน เรือแพ เครื่องมือหากิน บางคนต้องสูญเสียอนาคต เพราะไร้ที่พักพิง... ซึ่งฉันเชื่อว่าหลายชีวิตที่รอดมาได้ และยังมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงบัดนี้ ก็คงจะยังจดจำเหตุร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในวันนั้นกันได ้อย่างมิอาจลืมเลือน
ส่วนพ่อของฉันก็เกือบจะสูญเสียชีวิต   ด้วยการที่ไม้ใหญ่ริมทางเดินหักโค่นลงมาสุมทับจนถลอกปอกเปิดไปหมดทั้งตัว แต่ท่านก็ยังพูดติดตลกตามแบบฉบับของท่านในภายหลังว่า
            “ตอนที่ถูกต้นไม้โค่นลงมาสุมทับจนข้าวของเสียหาย... อย่างอื่นไม่นึกเสียดายเท่าวิทยุทรานซิสเตอร์ เพราะตั้งใจจะซื้อมาฟังข่าว นี่ถ้าซื้อมาไวกว่านี้สักวันสองวัน บางทีเราก็อาจจะรู้ข่าวของมันเสียก่อนก็ได้ เฮ้อ ไม่น่าเลย”

Edited by เฒ่านุ้ย

ลูกหมาขี่เรือบิน

ระนอง พังงา หัวเมืองปักษ์ใต้ที่ฝนตกชุกจนได้ชื่อดินแดนฝนแปดแดดสี่ หน้าฝนฝนตกพรำทั้งวันทั้งคืนจนเดือดร้อนเทวดา อยู่ไม่เป็นสุข เพราะพวกที่ไม่เอาฝนพากันแช่งชักหักกระดูก  ส่วนพวกที่อยากได้ก็ไชโยโห่ร้องจุดประทัดกันสนั่น  บอกว่าเทวดารับบน โดยเฉพาะพวกทำเหมืองแร่บนภูเขาที่ขาดน้ำไม่ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถูกใจก็สรรเสริญเยินยอ ไม่ถูกใจก็ค่อนขอดด่าว่า  ถือเป็นคติเตือนใจท ี่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

   บ้านฉันอยู่อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา  ซึ่งมีเขตแดนทางด้านทิศเหนือติดกับจังหวัดระนอง   สมัยเด็ก ๆ วงจรชีวิตของพวกฉันบางครั้งก็ตกอยู่ในวงล้อมของสภาพดินฟ้าอากาศ ที่ย่ำแย่อยู่บ้างเหมือนกัน ตอนที่ถูกจับให้เลี้ยงควายอยู่ในทุ่งนาแทนพวกพี่ ๆ ที่ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานอย่างอื่นนั่นล่ะ-ที่เรารู้สึกว่ามันช่า งแย่เสียจริง  ๆ

จะแดดหรือฝน เปียกหรือแห้ง ร้อนหรือหนาว สำหรับเด็กเลี้ยงควายอย่างพวกเราถ้าวันไหนนึกขี้เกียจหรือไม่ค่ อยพอใจ  มันก็เป็นเรื่องที่แสนจะย่ำแย่และหน้าเบื่อหน่ายไปเสียทั้งนั้น โดยเฉพาะสภาพอากาศช่วงปลายเดือนสี่เดือนห้าที่ท้องทุ่งนาร้อนระ อุราวกับจะแผดเผาใครให้ตายลงไปในชั่วพริบตาได้สักคน เราก็ยิ่งไม่อยากจะให้มันโคจรมาถึงเลย

ท้องนาหลังเก็บเกี่ยวเดือนสี่เดือนห้า ในบิ้งนาเหลือแต่ตอซัง  พวกเราโรงเรียนปิดภาคเรียนเทอมปลาย  ก็สวมเครื่องทรงเลี้ยงควายแทนชุดนักเรียน... เปลือยกายท่อนบน  เหลือท่อนล่างนุ่งกางเกงขาด ๆ รัดสะเอวด้วยสายเชือกพอกระชับ  แค่วิ่งไล่ควายไม่หลุดลุ่ยก็พอ

ตอนนั้นฉันเป็นเด็กหัวโล้น เพราะติดเหามาจากโรงเรียน...  เกาเสียจนหนังหัวเปื่อยเป็นแผลน้ำเหลืองเยิ้ม เรียกกันว่า"ชันตุ"จนย่ารำคาญเลยจับฉันกล้อนผมเสียเตียนโล่ง

“ไอ้ไข่นุ้ยมานี่...” ย่าพลิกครกตำข้าวให้คว่ำลงแล้วชี้ให้ฉันขึ้นไปนั่งบนก้นครกทรงก ลม ลื่นเป็นมันเหมือนเก้าอี้ที่โรงเรียน ใบมีดโกนหนวดของปู่ที่อยู่ในมือย่าคมวับ น่าหวาดเสียว

หากแต่สายตาของย่านั่นซิ-คมวาว ! น่ากลัวกว่าใบมีดโกนเป็นไหน ๆ

เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกจับกล้อนผมด้วยใบมีดโกน รู้สึกเสียววูบวาบ  กลัวว่ามันจะไพล่มาบาดเอา แต่ไม่กล้าขัดขืน เพราะเห็นย่าเหลือบแลไม้เรียวซึ่งเหน็บไว้ที่ชายฝาหน้าบ้านอยู่ ู่ไปมา

“ไม่ตายหรอก” ปู่ว่า ขณะนั่งฝนขมิ้นกับปูนแดงรอไว้ชโลมหัวรักษาแผลเน่าเปื่อยให้ฉันอ ยู่ใกล้ ๆ

ตอนที่ย่าถากใบมีดโกนลงบนหนังหัวเปื่อยเน่าของฉันเสียงดังแกรก ๆ มันทั้งเสียวทั้งเจ็บ ตอนที่คมมีดตัดสะเก็ดชันตุปนเลือดปนหนองหล่นใส่แผ่นหลังและหน้า อกซึ่งปล่อยล่อนจ้อนไม่มีอะไรปกปิดสักนิดเดียวนั้น มันทำให้คันยึบยับอย่างทรมาน ยิ่งตอนที่คว้าสบู่ซันไลน์ไปกระโดน้ำคลองตามคำสั่งของย่าด้วยแล ้ว ฉันจำได้ว่ามันเจ็บแสบอย่างมหาวายร้ายเลยทีเดียว

“ฟอกสบู่ล้างหัวให้ทั่ว... กลับมาไม่เรียบร้อย เอ็งโดนไม้เรียว “

ว้า--เอะอะก็ไม่เรียว ๆ ฉันนึกน้อยใจจนน้ำตาไหล

เวลาฉันขี่หลังควายลงทุ่ง อ้ายพวกเด็กเลี้ยงควายที่ไปถึงก่อนมันเห็นฉันถูกจับกล้อนผมชโลม ขมิ้นซะเหลืองอ๋อย มันก็ล้อกันว่า “เฮ้ย อีแร้งแก่เกาะหลังควายมาแล้วโว้ย” ลางคนก็แสร้งทำเป็นเถียง  “พ่อมึงนะซี! อ้ายนั่นเขาเรียกหมาหัวโล้นโว้ย มึงแหกตาดูให้ดีซิ หัวมันเหลืองหม่นเหมือนหัวหมา ฮา ฮา ”

ถ้อยคำที่พวกมันชวนกันสรรเสริญเยินยอ   ล้วนแต่น่าจะเอาหมัดทิ่มปากให้เลือดสาดไปเสียทั้งนั้น ผิดแต่ว่าฉันตัวเท่าลูกหมาจึงไม่ใคร่กล้าที่จะต่อกรกับใคร... แต่ก็โชคดี ตรงที่มีญาติลูกพี่ลูกน้องหน้าตาขึงขังเหมือนยักย์ทศกัณฐ์คนหนึ ่งคอยเป็นเงาคุ้มครอง หากแต่ในสมัยนั้นฉันก็ช่างร้ายกับแกเหลือเกิน

แกชื่อจิต เป็นเด็กผู้ชายตัวดำล่ำสัน อายุมากกว่าฉัน 3 ปี แต่สอบตกซ้ำชั้นจนได้มาอยู่ชั้นเดียวกันตอนฉันสอบ  ป.3 ขึ้น ป. 4  ซึ่งเป็นปีแรกที่ถูกเขาเกณฑ์ให้เลี้ยงควาย

และเป็นเพราะฉันมีพี่จิตคอยโอบอุ้มนี่เองที่ทำให้มักได้เปรียบผู้อื่นแทบทุกอย่าง  ทั้งของกินและของเล่นไม่มีใครกล้าแย่งฉันหรอก

             “เฮ้ย ! ให้ไอ้ไข่นุ้ยมันก่อน” นั่นคือประกาศิตจากลูกพี่เบิ้มของฉัน   จะร้องตวาดขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าฉันกำลังเสียเปรียบ 

“ได้ ๆ ให้ไอ้หมานุ้ยมันก่อน-ก็ได้" พวกมันจะหันมามองฉันด้วยสายตาที่ฝากรอยแค้นพยาบาท  หากแต่ทำอะไรฉันไม่ได้ อย่างหมากก็แค่ประชดฉันว่าหมา จากไอ้ไข่นุ้ยก็กลายเป็นไอ้หมานุ้ยไปเสียฉิบ

หากแต่เมื่อถึงคราวที่ฉันจะได้ยิบยื่นความกตัญญูรู้คุณทดแทนพี่ จิตกลับไปบ้าง ฉันกลับไพล่ไปในทางเลวอย่างไม่อาจให้อภัยแก่ตัวเองเลย

ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเรายกโขยงลงทุ่งพร้อมกันแล้ว  และฝูงควายก็ถูกต้อนรวมกันเป็นฝูงเดียวเสร็จแล้ว ฉัน-ซึ่งเป็นเด็กเจ้าความคิดก็เสนอว่าแดดร้อนอย่างนี้เราไปเล่น น้ำคลองกันดีกว่า

“แล้วใครจะแลควาย!?” มีคนสงสัย.... “ควายแหกฝูงไปเข้าสวนของตาผู้ใหญ่ละก้อ - -มึงเอ๋ย น่องลายเชียว”

จริงว่ะ---ตาผู้ใหญ่..!

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงตาผู้ใหญ่ฉันก็จะนึกขยาดขึ้นมาทันที เพราะขึ้นชื่อว่าไม้เรียวของตาผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใครออกใครอย ู่เหมือนกัน   แกไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน  จะลูกหลานใครแกไม่เกี่ยว ผิดนักละก้อฟาดขวับ ๆ ลงไปทันที แล้วก็ไม่มีวันเสียล่ะที่อ้ายพวกหมา ๆ ทั้งหลายจะกล้าพกรอยไม้เรียวของแกไปรายงานที่บ้าน ขืนหลุดปากออกไปซี จะได้โดยเข้าอีกรอบปะไร  เผลอ ๆ อาจโดนหนักกว่าเก่าก็ได้... พวกผู้ใหญ่เขาดุกันจะตาย

เออ...แล้วใครเล่าหว่า! จะอยู่เฝ้าฝูงควาย...? ฉันใช้หัวคิด

“เฮ้ย! ไอ้แสง เอ็งไปหักก้านมังเครมาซิ” ว่าแล้วฉันก็ยักคิ้วให้ไอ้แสงอย่างรู้กัน “ใครจับได้ไม้สั้นต้องอยู่เลี้ยงควาย” ฉันพูดเสียงดัง

ต้นมังเครแถวนั้นมีอยู่เกลื่อนทุ่ง ใบของมันเรียวแหลม สีออกแดงเจือแสด มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ย ๆ ชอบขึ้นอยู่ตามชายป่าละเมาะ   และริมหนองน้ำ ลูกของมันกลมรีเท่าหัวแม่มือ เมื่อสุกจัดก็ปริบานแยกเป็นพูสีม่วงฉาบขาว รสชาติหวานปะแล่ม กินเข้าไปสักลูกสองลูกลิ้นจะกลายเป็นสีม่วงทำให้ผู้อื่นรู้ว่าแ อบไปกินลูกมังแครที่ชายทุ่งมาแล้ว

“ว้า- -กูอีกแล้ว!”

พี่จิตลากเสียงครางออกมาอย่างผิดหวัง ขณะทอดสายตามายังฉันคล้ายกับไม่เชื่อในโชคชะตาของตน  เมื่อแกดึงก้านมังเครสั้นจุ๊ดจู๋ขึ้นมาจากกำมือของไอ้แสง

คนที่เรียนหนังสือ 6 ปี 4 ชั้นอย่างพี่จิตมีหรือจะตามทันกลโกงของพวกเรา เพราะก้านไม้มังแครอันเปราะบางที่อยู่ในกำมือไอ้แสงนั้น คุณสมบัติพิเศษของมันก็คือ เมื่อหักออกเป็นสองท่อนเมื่อไหร่แล้ว ก็สามารถที่จะสวมกลับเข้ารอยเดิมได้อย่างแนบสนิท ไอ้แสงจะกำหนดให้ใครจับไม้สั้นไม้ยาวก็ได้... อยู่ที่กำให้แน่น หรือคลายออกให้หลวมแค่นั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ พี่เบิ้มของฉันก็จำต้องก้มหน้าดูแลฝูงควายแทนพวกเราที่กำลังจะไ ปเล่นน้ำ สนุกสนานกันอีกวันตามระเ บียบ

เมื่อนึกถึงความหลัง ฉันคิดว่า   แม้จะโกนเข้าวัดหัวบวชล้างบาปที่เคยทำไว้กับพี่จิตสัก กี่ครั้งกี่หน ก็จะไม่มีวันลบหาย เพราะทุกวันนี้คนซื่ออย่างพี่จิตฉันจะไปหาที่ไหน ตายแล้วเกิดใหม่สักสิบชาติก็หาไม่เจอ

วันนั้นพวกเราหลบแดดร้อนลงไปลอยคอแช่น้ำเล่นไอ้เข้ไอ้โขงอยู่ใน คลองอย่างผาสุข ในขณะที่พี่จิตต้องถือไม้เรียวเดินตากแดดอยู่ข้างฝูงควายจนเหงื ่อไหลไคลย้อย ครั้งหนึ่งฉันเหลือบเห็นแกแอบมายืนดูพวกเราอยู่บนตลิ่งด้วยใบหน ้ายิ้มแย้มอย่างพลอยมีสุขไปด้วย มันทำให้ฉันใจหายวาบขึ้นมาทันที

และก่อนที่เราจะชวนกันขึ้นมาจากลำคลองในวันนั้น ฉันได้ยินเสียงเครื่องบินบินหึ่ง ๆ มาทางทิศเหนือ ซึ่งปกติเวลาประมาณนั้นจะมีเพียงเครื่องบินพาณิชย์ที่บินจากกรุ งเทพฯไปลงที่สนามบินภูเก็ตเพียงลำเดียวที่บินผ่าน ทว่าก่อนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจว่าเครื่องบินลำที่ว่าบินผ่านไป หรือยัง หากแต่เสียงเครื่องบินที่กำลังบินตรงมาทางทิศเหนือในขณะนั้น รู้สึกว่าเสียงเครื่องยนต์ของมันออกจะดังผิดหู   จนทำให้ฉันค่อนข้างม ั่นใจว่าน่าจะไม่ใช่ลำเดียว

“มึงว่าเรือบินกี่ลำ?” ฉันทายปริศนากับพวกที่ลอยคอแช่น้ำและแหงนคอคอยมองอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งพวกมันตอบว่า "ลำเดียว” ครั้นเวลาล่วงไปสองสามอึดใจ เหนือน่านฟ้าด้านทิศเหนือที่เรากำลังแหงนคอมองอยู่นั้นปรากฏฝูง เครื่ องบินบินเกาะกลุ่มกันมา 5 ลำ ทั้งหมดบินสูงเทียมเมฆมุ่งหน้ามาทางเรา แล้วก็ผ่านเลยไปทางทิศใต้จนลับตาหายไปในเวลาอันรวดเร็ว  ซึ่งมันได้สร้างคำถามขึ้นในหัวใจของพวกเราทุกคน  เพราะหลังจากเลิกเล่นน้ำกันแล้วก็ยังคงถกเถียงจนเกือบจะไ ด้ฟาดปากกันหลายหน

“กูว่าเรือบินรบ"

ใครคนหนึ่งพยายามหาข้อสรุป แต่อีกคนกลับแย้งว่า

“ไม่ใช่... ถ้าเรือบินรบมันจะต้องห้อยระเบิดมาด้วย”

“แล้วมึงเสือกมองขึ้นไปเห็นหรือวะ? - -ไอ้เวร ถุย!”

“กูว่าน่าจะเป็นเรือบินในหลวง ลำที่บินอยู่ข้าง ๆ น่าจะเป็นเรือบินทหาร”

“เออ กูก็ว่าเหมือนกัน” เป็นครั้งแรกที่พี่จิตซึ่งยืนฟังพวกเราถกเถียงกันตาปริบ ๆ ด้วยความใคร่รู้พยักหน้าคล้อยตาม “โตขึ้นสองวัน กูจะขี่เรือบิน"

พี่จิตพูดพร้อมกับหันมองไปยังทิศทางที่เรือบินฝูงนั้นบินลับหาย ไปเมื่อสักครู่

“เฮ้ย! มึงนะหรือจะขี่เรือบิน?”

ไอ้ชนพูดพร้อมกับทำท่าล้อเลียน หากแต่ในที่สุดมันก็ชะงักและทำตาเหลือกอย่างตกอกตกใจ เมื่อพี่จิตหันกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกว่า"เอาเรื่อง" หมัดซ้าย-ขวากำแน่นไม่รั่วลม ตะคอกว่า

“เออ- กูไอ้จิตนี่แหละจะขี่เรือบินให้ได้ มึงคอยดู"

ทุกคนพากันหุบปากและยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นลูกพี่ของฉันมีท่าทีจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้แต่ฉันขณะนั้นก็จิตใจล่องลอยบอกไม่ถูก

หลังจากนั้นไม่นานฉันกับพี่จิตก็ต้องแยกจากกัน... และไม่ได้พบหน้าค่าตากันอีกเลย... เพราะหลังจากจบชั้นประถมปีที่ 4 แล้วพี่จิตก็ไม่ได้เรียนต่อชั้นประถมปลายเหมือนฉัน หากแต่แกได้ย้ายไปอยู่กับแม่ซึ่งเลิกร้างกับพ่อของแกมานานหลายป ี ที่บ้านกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง ซึ่งสุดแสนจะไกลลิบสำหรับความรู้สึกของฉันในขณะนั้น

ต่อเมื่อฉันอายุได้ 30 กว่า ๆ ฉันก็มีโอกาสได้ขี่เรือบินโดยไม่ได้คาดหวังเอาไว้เหมือนอย่างพี ่จิตคาดหวังอย่างจริงจังในวันนั้น แต่เป็นเพราะฉันมีธุระจำเป็นอย่างที่สุด... เป็นธุระของผู้อื่นที่ฉันแส่เข้าไปรับภาระชนิดเนื้อไม่ได้กินหน ังไม่ได้รองนอน หากแต่เอากระดูกมาแขวนคอ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมีญาติห่าง ๆ ของแฟนมาติดต่อขอร้องให้ช่วยเป็นธุระจัดการขายที่ดินของเขาที่อ ยู่ติดถนนสายเอเชียซึ่งเป็นถนนสายหลักมูลค่ากว่ายี่สิบล้านบาทใ ห้เขา

อ้ายฉันก็ไม่ได้คิดที่จะกินเศษกินเลย หรือหวังค่านายหน้าเข้าพกเข้าห่อแต่อย่างใด แต่เมื่อได้ตัดสินใจรับปากช่วยเขาแล้วก็บอกไปว่า ถ้าหากฉันจัดการได้สำเร็จก็ขอให้ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายในการวิ่งเ ต้นทำธุระซึ่งฉันได้ทดรองจ่ายไปก่อนแล้วให้ฉันด้วย ...

ก็เท่านั้น!

แต่ครั้นพอเสร็จงาน ฉันก็ถูกถีบหัวส่ง นอกจากจะไม่ได้สักสตางค์แดงเดียวแล้ว พบหน้าก็ไม่ใคร่จะพูดจาทักทายกันเหมือนแต่ก่อน หรืออาจบางทีพวกเขาคงกลัวว่าฉันจะรื้อฟื้นบุญคุณขึ้นมาหรือเปล่ าก็ไม่รู้ ฉันไม่แน่ใจ

คุณหมอเพื่อของฉันซึ่งเป็นผู้ประสานงานระหว่างฉันกับนิติกรของบ ริษัทจัดซื้อที่กรุงเทพฯ ก็ได้ตักเตือนฉันด้วยความหวังดีไว้ก่อนแล้ว   ว่าควรที่ฉันจะต้องทำสัญญานายหน้าให้ถูกต้องตามระเบียบ&a mp;n bsp; ก่อนที่กระบวนการซื้อขายที่ดินแปลงนี้จะบรรลุเป้าหมายและ สิ้นสุดลง... น่าเกลียด ! ฉันว่า...ญาติ ๆ กันทั้งนั้น คุณหมอก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ว่ากระไร ทว่าเมื่อรู้ข่าวตอนหลังก็ถึงกับหน้าเสียด้วยความตกใจ

"ก็ผมเตือนคุณแล้ว เงินน่ะไม่เข้าใครออกใครคุณก็ไม่ฟัง”

ท่านตำหนิฉันอย่างน้อยใจ ส่วนฉันถึงแม้จะสงสัยว่าคุณหมอจะได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาจากบริษัทผู ้ซ ื้อไปเท่าไหร่ ก็ไม่กล้ารบกวนถาม   เพราะจะเป็นการละลาบละล้วง ฉันเพียงแต่ปลงเสียว่า    ดีเสียอีก... ถึงแม้ไม่ได้เงินแต่ก็ได้มีโอกาสขี่เรือบิน เพราะ ถ้าเป็นธุระอื่น ขืนรีบเร่งถึงขนาดนั้นแฟนของฉันบ่นตายเลย

เรือบินลำที่ฉันโดยสารไปทำธุระเร่งด่วนตามคำร้องขอของฝ่ายนิติก รของบริษัทที่กรุงเทพฯในวันนั้น บินขึ้นจากสนามบินสุราษฎร์ธานี เวลา 12.30 น. บินเลียบชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันออก    คือ ฝั่งอ่าวไทย   ขึ้นไปทางทิศเหนือ ฉันนั่งติดช่องหน้าต่างด้านซ้ายมือ เมื่อทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างก็แลเห็นผืนน้ำทะเลแบ่งสีสันกัน อย่างชัดเจน บอกให้รู้ถึงตำแหน่งตื้นลึกของท้องทะเลได้อย่างดี... เพราะสีของมันมีความเข้มข้นต่างกัน ทำให้เราแยกแยะได้

ครั้นบริกรสาวเข็นรถสัมภาระคันเล็ก ๆ แลดูน่ารักทั้งรถทั้งคนออกมาให้บริการแก่ลูกค้าตามหน้าที่ผ่านไ ปรอบแรก... ฉันก็รับเอากล่องอาหารที่เธอยื่นส่งให้พร้อมกระพุ่มมือสวัสดีค่ ะ  ยัดใส่ตะกร้าที่แลดูคล้ายอวนดักปลาซึ่งแขวนอยู่หลังพนักพิงตัวห น้า เสร็จแล้วก็ทอดสายตาชมทิศทัศน์ในมุมสูงอีกรอบตามประสาคนไม่เคยข ี่เรือบิน

"โตขึ้นสองวันกูจะขี่เรือบิน”

สำเนียงซื่อ ๆ ของเด็กชายชาวนาผู้กำยำล่ำสันคนนั้นดังแว่วขึ้นสองข้างหู ทำให้ฉันอดที่จะทอดสายตามองออกไปไกลจนสุดขอบฟ้าทิศตะวันตกเสียม ิได้ หากแต่ตอนนั้นสายตาเริ่มพล่าเลือนด้วยม่านน้ำตา ซึ่งค่อนข้างนานกว่าหักใจได้

และเมื่อมองจากมุมสูงในระดับเพดานบินของเครื่องบินโดยสารลำนั้น ถัดจากฝั่งทะเลอ่าวไทยไปทางซ้ายมือ พื้นดินข้างล่างมีทั้งสีเขียวเข้มและเขียวอ่อน กระทั่งสีเหลืองไล่เฉดไปจนเข้มเกือบจะเป็นน้ำตาลอ่อนก็มี แลเห็นเด่นชัดอยู่เป็นหย่อม ๆ ซึ่งฉันพอจะคาดเดาได้ว่านั่นคือ บิ้งนา นั่นคือสวนยาง ส่วนที่เป็นจุดกลม ๆ สีเขียวเข้มเท่าหัวไม้ขีด และเรียงกันอยู่เป็นแถวเป็นแนวก็น่าจะเป็นสวนมะพร้าวหรือไม่ก็ป าล์มน้ำมัน...ฉันไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกเสียดายที่เรือบินบินเลียบไปทางฝั่งนี้ ถ้าเป็นฝั่งอันดามันละก้อ... โน่นไงล่ะเทือกเขาภูเก็ต ท้องนาฝั่งภูเขาฝั่งนู้น.. ก็บ้านย่าฉัน จึงให้รู้สึกเสียดายที่สายตามองลงไปไม่เห็น แม้ว่าใจมันเห็น และเห็นไกลไปถึงอดีตครั้งขี่หลังควายแหงนมองเรือบินบินข้ามหัวอ ยู่ตามท้องนา...

เคยนึกว่ามันจะโคลงเคลงไปมาจนทำให้ต้องโก้งโค้งออกไปคายของเก่า เหมือนกับตอนที่นั่งเรือแจวของพ่อออกทะเลไหมหนอ?

ค่าตั๋วคงแพงน่าดู...? ชาตินี้เราจะมีปัญญาไหม...?

ทุกข้อสงสัยล้วนแต่โจทย์ที่ไม่อาจเฉลยคำตอบทั้งสิ้น!

เช่นเดียวกับหลายคำถามที่กรีดน้ำตาของฉันให้เอ่อท้นขอบตากระทั่ งรินไหลลงมาเป็นทางขณะนั่งอยู่บนเรือบินในวันนั้น ซึ่งเป็นวันที่ฉันก็ไม่อาจค้นหาคำตอบได้อีกเช่นกัน

พี่จิต... พี่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า....?

พี่ได้ขี่เรือบินสมปรารถนาแล้วหรือยัง ?

พี่จิตครับ ไอ้ไข่นุ้ยของพี่ได้ขี่เรือบินแล้วครับ พี่ดีใจไหม?

จนในที่สุดฉันต้องล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับน้ำ ตาอย่างไม่อาย เมื่อฉันหลับตาเห็นภาพพี่จิตกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ในวันที่คุณครูประกาศผลการสอบหน้าเสาธง ในตอนบ่ายของวันประกาศปิดภาคภาคเรียน ตอนฉันอยู่ชั้น ป.4

" เด็กชายไข่นุ้ย สอบได้ที่ 1 และได้ทุนเรียนต่อ ป.ปลายจากท่านศึกษาธิการอำเภอปีละ 200 บาท เอ้าปรบให้หน่อย..."

“ไชโย ไชโย ไชโย”

ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้นเกรียวกราว พี่จิตกระโดดเข้ามาอุ้มฉันแล้วยกชูขึ้นบ่าพาวิ่งวนไปรอบ ๆ เสาธงสามสี่รอบ ด้วยความดีอกดีใจ ก่อนที่คุณครูจะให้โอวาทและปล่อยให้นักเรียนทุกคนกลับบ้าน กลับไปเตรียมตัวต่อสู้กับอนาคตข้างหน้าซึ่งมันแสนจะโลเลและตลบต ะแลงยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ

Edited by เฒ่านุ้ย

เพื่อนเก่าในกาลเวลา

เช้าวันอันแสนธรรมดาๆ วันหนึ่ง เจ้าโกมล หรือ “ไอ้เหยิน” ย่อมาจาก “ไอ้ฟันเหยิน” อดีตเพื่อนไม่สนิทในชั้นเรียน ของโรงเรียนมัธยมชายล้วนย่านสะพานปลา บางรัก โทรศัพท์มาหาที่ทำงาน

แปลกใจเล็กน้อยว่ามันไปได้เบอร์ผมมาจากไหน เพราะร้อยวันพันปี มันกับผมไม่เคยได้ติดต่อกันเลย ยาวนานกว่า 10 ปีแล้ว เห็นจะได้

1

ข้อความจากปลายสาย บอกว่า ตอนนี้มันทำมาหากินเป็นทนายความ ผมเป่าปากพรืดอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าไอ้เหยินไม่ได้ขายประกันหรือแอมเวย์!

“คือ ยังงี้ พวกกู ซึ่งได้แก่ ไอ้เอ ไอ้สูจน์ ไอ้เมธ มึงคงจำพวกมันได้ จะจัดงานสังสรรค์เพื่อนมัธยมของเรา ในวันที่ 22 ที่จะถึง พวกกูคิดเชิญเพื่อนรุ่นเราที่ได้ดิบได้ดีมางาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ คบๆ กันไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน” เจ้าของเสียงหยุดกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่

“และงานนี้นะโว้ย มึงจำไอ้เจี่ย หัวหน้าห้องได้หรือเปล่าวะ ตอนนี้ มันจบดอกเตอร์มาจากญี่ปุ่น และเป็นที่ปรึกษาบริษัทด้านกฎหมายของบริษัทญี่ปุ่น โห... กินเงินเดือนเป็นแสนๆ มันให้เกียรติเป็นประธานจัดงานด้วยนา” ไอ้เหยินรัวยิบ จนผมกังวลว่า คำพูดจะพันคอมันตายไปเสียตรงหน้า

“เพื่อนนักเรียนรุ่นเราได้ดีกันหลายคน ใหญ่ๆ โตๆ กันเกือบทั้งนั้น มึงก็ใช่ย่อย เป็นถึงครูบาอาจารย์มหา’ลัย”

วินาทีนั้น ผมเผลอทวนคำพูดของไอ้เหยินขึ้นมาช้าๆ “รุ่นเราได้ดีกันหลายคน ล้วนแล้วแต่ใหญ่ๆ โตๆ กันเกือบทั้งนั้น” พลางตั้งคำถามกับตัวเองว่า

“แล้วพวกเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ใหญ่ๆ โตๆ ในความหมายของไอ้เหยินมันละ ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง”

ในตอนนั้นเองที่ใจผมประหวัดหวนนึกไปถึง “ประชา” เพื่อนรักผู้พิการขึ้นมาอย่างประหลาด นับจากวันประกาศผลเอนทรานซ์เมื่อหลายปีก่อน ผมเองก็แทบลืมเลือนเพื่อนคนนี้ไปจากความทรงจำ

“มึงได้ข่าวประชาบ้างหรือเปล่าวะ ? ” ผมถามไอ้เหยิน หลังถอนหายใจยาว

ปลายสายอุทานขึ้นแผ่วเบา “ใครว้า” ไอ้เหยินใช้เวลาเนิ่นนานครุ่นคิด ราวกับว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยในชีวิต

“อ้อ ไอ้บอดนั่นนะเหรอ เออวะ กูไม่ได้ข่าวมันเลย เฮ้ย ! มันเอนท์ไม่ติดนี่หว่า ไม่รู้มันไปทำอะไรเหมือนกันว่ะ ไม่ได้ข่าว ช่างเหอะ ว่าแต่มึงจะไปงานนี้หรือเปล่าวะ...เฮ้ย...มึงฟังกูอยู่หรือเปล่ า”

ในตอนนั้น ผมคล้ายว่า ไม่ได้ยินคำพูดต่อๆ มาของไอ้เหยินอีกแล้ว ความคิดคำนึงดำดิ่งกลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้ง ภาพอดีตผุดพรายขึ้น ชัดเจนราวกับว่าผมกำลังนั่งดูละครโทรทัศน์หลังข่าวยามค่ำคืน...

2

เมื่อวันแรกของการเปิดภาคเรียนในชั้นมัธยม ผมเห็นภาพแม่วัย 40 ปลายๆ จูงมือผมที่ตอนนั้นยังตัวเล็กเท่าสะเอวของแม่ เก้ๆ กังๆ ตามประสาคนไม่เคยออกไปไหนไกลเกินกว่ารั้วบ้าน ก้าวขึ้นรถเมล์โทรมๆ คันหนึ่ง มุ่งสู่โรงเรียนมัธยมหลังใหม่ที่ไกลกว่าโรงเรียนประถมหลังเก่า ที่เพียงเลยซุ้มเฟื้องฟ้าสีสวยหน้าบ้านไปก็ถึงแล้ว

บนรถเมล์คันนั้น แม่งกๆ เงิ่นๆ หยิบเหรียญเงินที่ชายพกผ้าถุงยื่นให้กระเป๋ารถเมล์ ที่ชักสีหน้าไม่พอใจในความเชื่องช้า ผมรู้สึกสงสารแม่จับใจ แม่ผู้ไม่ค่อยรู้หนังสือหนังหา แต่เพียรทำทุกทางเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ

แม่นั่งนับป้ายรถเมล์ไปเรื่อยๆ ทีละป้าย ทีละป้าย และเมื่อถึงป้ายที่ 8 ซึ่งเป็นป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน แม่ในอาการตื่นๆ ก็รีบแหวกผู้คนพาผมลงจากรถเมล์ เก้ๆ กังๆ ไม่แพ้ตอนขึ้นมาสักเท่าไร เราสองคนจูงมือกันเดินอ้อยอิ่งผ่านตึกเรียนสีขาวหลังใหญ่หลายหล ัง ที่โอบล้อมสนามซีเมนต์ทั้งสี่ด้าน มาหยุดยืนหน้าห้องเรียนที่มีป้ายไม้เล็กๆ สีเขียวแก่ มีตัวอักษรสีขาวเขียนไว้เหนือประตูทางเข้าว่า “ม.1/3”

สักพัก แม่จึงจากผมไปเพื่อกลับบ้าน และก่อนที่ร่างแม่จะเลือนหายไปพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆ ผมก็รีบวิ่งออกไปที่หน้าห้องเรียน ตะโกนเรียกแม่เสียงหลง

“แม่ครับ สาย 1 ถนนตก-บางรัก นะแม่ ไม่ใช่สาย 22 อย่าลืมนะ เดี๋ยวจะหลงทางเหมือนวันที่มาดูผลสอบอีก”

แม่หันมายิ้มและพยักหน้าให้ด้วยท่าทีเงอะงะชวนสงสาร ก่อนหมุนร่างจากไป ผมมองดูแม่จนลับตา แล้วจึงกลับไปรวมกลุ่มกับเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกัน เกือบ 50 คน และหลายคนในพวกเขาเหล่านี้ได้กลายมาเป็นเพื่อนรักของผมในเวลาต่ อมา รวมทั้งประชา เด็กน้อยสมองทึบทึม และนัยน์ตาข้างซ้ายบอดสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ผู้รักกีฬาฟุตบอลเท่าชีวิต !

3

ในตอนเป็นเด็กขนาดนั้น เราทุกคนต่างมีความฝันผิดแผกแตกต่างกันออกไป บางคนฝันเป็นหมอ ทหาร ตำรวจ แต่สำหรับประชาเพื่อนผู้พิการของผม เขาฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย

“ฐานะก็ยากจน แถมยังเป็นคนโง่ที่สุดในห้อง จะตกมิตกแหล่ จะฝันให้ไกล เป็นอะไรดีๆ เหมือนกับคนอื่นเขา มันคงยาก เป็นนักฟุตบอลทีมชาตินี่ละว่ะ เห็นทีจะเข้าท่าสุดแล้วสำหรับเรา”

ประชาบอกฝันให้ผมฟังในค่ำคืนที่พราวไปด้วยแสงดาววิบวับ ขณะที่เราทั้งสองกำลังนอนดูท้องฟ้าที่สนามหญ้าหน้าค่ายลูกเสือว ชิราวุธ จังหวัดชลบุรี เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ชั้น ม.3

“แต่ นาย เออ... ตาบอดนะ” ผมติงเขาให้ได้คิด

“แต่เราตาบอดข้างเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราต้องไปถึงฝั่งฝันของเราให้ได้ เชื่อเหอะ” เขาเถียงผมอย่างดื้อรั้น ในตอนนั้น หัวใจของผมสั่นระริกขึ้นมาด้วยความเศร้า เมื่อได้ฟังฝันของเขา เพราะในความจริงแล้ว มันช่างลางเลือนซะเหลือทน

หว่างฟ้ามืดในค่ำคืนนั้น ผมคล้ายแลเห็นฝันของประชา มันลอยเคว้งคว้างไปค้างเติ่งติดอยู่ที่ดวงดาวดวงหนึ่งที่อยู่ไก ลเกินสุดสายตา

“ฝันของเจ้า มันช่างไกลเสียจริงๆ หนอ ประชาเอ๋ย” ผมกระซิบฝากสายลมไปสู่ดวงดาวดวงนั้นของประชา

4

ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เราหลายคนในชั้นจะรวมตัวกันไปเล่นฟุตบอล ที่ลานดินของวัดฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ทุกคนจะเตรียมเสื้อฟุตบอลมาจากบ้านและผลัดเปลี่ยนกันที่นั่น และ ณ ที่แห่งนั้น เราจะสังเกตความชื่นชอบทีมฟุตบอลของแต่ละคน ได้จากเสื้อยืดที่ใช้สวมใส่เล่นฟุตบอลกัน

สำหรับประชาเอง เขาชอบที่จะใส่เสื้อสีแดงสด ที่มีธงชาติไทยเล็กๆ แปะติดไว้ตรงหน้าอกด้านซ้าย เขาตั้งฉายาให้กับตัวเองอย่างน่าขนพองสยองเกล้าแกมขบขันในหมู่พ วกเราว่า “ไอ้บอดดินระเบิด” ขณะเล่นกันเอง เราแบ่งข้างกันเล่นแบบที่เรียกกันในหมู่เด็กๆ อย่างเราว่า “โกล์รูหนู” เพียงเอากระป๋องนมเปล่า ก้อนหินเก่า วางกองสุมเป็นเสาประตูกว้างราว <?:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:smarttags" />3 ฟุต ไม่ต้องมีผู้รักษาประตูคอยเฝ้า แค่นี้ลานวัดก็กลายเป็นสนามฟุตบอลเล็กๆ อันแสนวิเศษของพวกเราไปโดยปริยาย

ในการเล่น เราจะแบ่งคนที่เล่นฟุตบอลเก่งและไม่เก่งถัวๆ กันไป พวกเราล้วนไม่ได้คิดจริงจังกับเกมการแข่งขันแพ้ชนะกันมากนัก (แต่ชนะได้ก็จะดี) และในหมู่ของพวกเรา ประชาหรือในสมญานามว่า ไอ้บอดดินระเบิด คือคนที่แข็งแรงสุด เตะหนักสุด ด้วยพละกำลังที่พระเจ้าประทานให้ ราวจะทดแทนความผิดพลาดที่ทรงลืมประทานดวงตาข้างซ้ายให้เขามาตั้ งแต่กำเนิด

ผมยังระลึกได้ถึงภาพที่ไอ้บอดดินระเบิดกับเสื้อยืดสีแดงที่มีธง ชาติไทยปักอยู่ที่หน้าอก วิ่งเอียงๆ โดยใช้ตาข้างขวาเป็นเรด้าร์ นำทางเข้าหาลูกฟุตบอลที่เกลือกกลิ้งอยู่บนลานวัด ขณะที่ตาข้างซ้ายที่บอดจะปะหลับปะเหลือกขึ้นลงอย่างน่าเวทนา สำหรับผม มันช่างเป็นภาพที่น่าขันและน่าหดหู่ใจไปพร้อมๆ กัน

ครั้งใด ที่มีนักเรียนโรงเรียนใกล้ๆ มาท้าแข่งเพื่อชิงสนาม หรือพนันเงิน ทีมนักฟุตบอลลานวัดของเราก็จะคัดเอาเฉพาะคนเก่งที่สุด ลงเล่นต่อกรด้วย ส่วนคนไม่เก่งก็จะกลายเป็นกองเชียร์อยู่ข้างสนาม และในบรรดาคนเหล่านี้จะรวมไปถึงประชาด้วยคนหนึ่งเสมอ

“ให้เราลงเล่นเป็นตัวจริงเหอะวะ รับรองไอ้พวกนี้กระจุย” ประชามักทำเสียงออดอ้อนกับผม ที่ชอบทำตัวเป็นหัวหน้าทีมเสมอ และได้ผล ประชาจะได้ลงเล่นทุกครา แต่ก็ทุกครั้งอีกเช่นกัน เพียงแค่สายลมพัดผ่าน เขาก็จะถูกเปลี่ยนตัวออกจากเกม เพราะประชามักเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ทีมของเราต้องเสียประตูอยู่เป ็นนิจ

“เฮ้ย ไอ้บอด ไอ้สมองหมาปัญญาควาย มึงนะออกไปเลย ไอ้ห่าแม่งง...มีแต่แรง” เสียงตะโกนเช่นนี้ของใครบางคนจะดังขึ้นอยู่บ่อยๆ จากนั้นประชาก็จะเดินคอตกหน้าละห้อยออกจากสนามไปเป็นกองเชียร์

บอกตามตรงครับ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า จะมีโค้ชฟุตบอลทีมชาติไทยคนใด ที่อยากได้นักฟุตบอลที่มีดวงตาเพียงข้างเดียว และปราศจากฝีมืออย่างประชาเอาไว้ในทีม

ยิ่งคิดหัวใจของผมก็สั่นระริกด้วยความเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง!

5

คืนวันผันผ่านพาพวกเราทั้งหลายล่วงสู่ความสุข เศร้า เหงา และทุกข์ในวัยเรียนมาด้วยกัน ปีแล้วปีเล่า จนมาถึงวันประกาศผลเอนทรานซ์ พวกเราส่วนใหญ่ล้วนสอบติด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบไม่ได้ ประชาเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนส่วนน้อยนั้น

อนิจจา! เทพีแห่งโชค (ร้าย) มักอยู่กับประชาเสมอ

“เอนท์ไม่ติดก็ไม่เป็นไรหรอกวะ เราจะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติให้ได้ ไม่ต้องห่วง นายคอยดูเราในทีวีแล้วกัน” ประชาให้สัญญากับผม ซึ่งฟังไปแล้วคล้ายคำสั่งลาและอาลัยเสียมากกว่า เพราะนับจากวันนั้น พวกเราแต่ละคนต่างก็เดินไปสู่ดวงดาวแห่งฝันที่ทุกคนได้มุ่งหมาย เอาไว้ ต่างคนต่างหลงระเริงไปกับเพื่อนใหม่ และโลกใบใหม่ภายในรั้วมหา’ลัย ที่สดใส มากสีสัน และสวยกว่าโรงเรียนมัธยมของเรา มีบ้างบางครั้งคราที่เราจะติดต่อถึงกันทางโทรศัพท์ แต่จากนานๆ ครั้ง จนกลายเป็นไม่มีเลยสักครั้งไปในที่สุด

ผมไม่รู้จริงๆ ครับว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเราและผม

เราหลงลืมคืนวันอันแสนสุขเหล่านั้นไปได้อย่างไร?

6

“ฮัลโหล ฮัลโหล เฮ้ย! นี่มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะ กูถามมึงหลายทีแล้วนะว่า ตกลงมึงจะไปงานเลี้ยงรุ่นของพวกเราหรือเปล่าวะ”

เสียงของไอ้เหยินที่ดังระรัวผ่านสายโทรศัพท์พาผมกลับมาสู่ปัจจุ บัน ผมตอบตกลงมันไปในที่สุด

7

ในห้องจัดงานเลี้ยงของโรงแรมหรูในวันสังสรรค์เพื่อนนักเรียนเก่ า ที่เต็มไปด้วยไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ เสียงดนตรี และเสียงสรวลเสเฮฮา

ผมยินเสียงพร่ำบอกกันถึงธุรกิจพันแปดร้อยล้าน และความสำเร็จของเพื่อนเก่าหลายคน ที่บัดนี้กลายเป็นคนใหญ่ๆ โตๆ ฟุ้งกระจายเกลื่อนไปทั่วห้องหับจัดงานเลี้ยง แต่ผมกลับมองไม่เห็นเพื่อนเก่าๆ อีกหลายคน คิดไปเองว่า พวกเขาคงไม่ได้เป็นคนใหญ่ๆ โตๆ ละกระมัง เลยไม่ได้รับเชิญ รู้สึกหดหู่และอ้างว้างขึ้นมาเป็นกำลัง

งานใกล้เลิกแล้ว เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของผู้คนซึ่งผมไม่ชอบ ผมจึงคิดชิงกลับก่อน ขณะย่ำเดินออกจากห้องจัดงานเลี้ยง ผมก็บังเอิญมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงปากประตู เสื้อฟุตบอลสีแดงซีดซอมซ่อกับธงชาติไทยบนหน้าอกด้านซ้าย ที่เขาสวมใส่อยู่ สะดุดใจผมเป็นอย่างยิ่ง ชายคนที่ว่าผลุนผลันเดินหนีไปจาก ณ ที่ตรงนั้นทันที เมื่อรู้ว่ามีผมจ้องมองอยู่

บางอย่างในความทรงจำฉุดกระฉากตัวผมให้รีบตามไป และตัดสินใจตะโกนเรียกเขาในเวลาต่อมา

“เดี๋ยวครับ คุณ หยุดสักเดี๋ยวเถอะครับ”

เสียงของผมทำให้ชายคนนั้นชะงักเท้าหยุดนิ่งราวกับรูปปั้น ก่อนค่อยๆ หันร่างมาเผชิญหน้ากับผม

และจากแสงไฟสีเศร้าระหว่างทางเดินของโรงแรม แล้วผมก็ได้แลเห็นใบหน้าของเขาอย่างถนัดถนี่ พลันภาพเด็กน้อยสมองทึบทึม และนัยน์ตาข้างซ้ายบอกสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ผู้รักกีฬาฟุตบอลเท่าชีวิตเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งมาบัดนี้ได้กลับมายืนตรงเบื้องหน้าของผมอีกครั้ง !

8

เราสองคนยืนจ้องหน้ากันนิ่งเนิ่นนาน และในความเงียบงันนั้น ผมพินิจร่างซูบผอม กับใบหน้าที่แก่เกินอายุจริงด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ

ประชาเอ่ยกับผมว่า รู้ข่าวการเลี้ยงสังสรรค์จากข่าวสังคมในหน้าหนังสือพิมพ์ จึงอยากมาร่วมรำลึกความหลังเก่าๆกับเพื่อนเก่าๆ ด้วย แต่ครั้นพอมาถึงงาน ก็กลับไม่กล้าเข้าไป เมื่อนึกถึงสารรูปตัวเอง เขาบอกด้วยว่า หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขามุ่งมั่นฝึกซ้อมที่จะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติให้จงได้

“แต่เราไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติหรอกเพื่อน ใครเขาจะมาสนใจนักฟุตบอลพิการอย่างเรา ตอนนี้ก็ได้แต่เป็นผู้ดูแลสนามและอุปกรณ์ฟุตบอลให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนเล็กๆ ในต่างจังหวัด พอเลี้ยงตัวกับลูกเมียได้ไปวันๆ” ประชาพูดจบ น้ำตารื้นขึ้นมาที่ดวงตาข้างที่ไม่บอด พร้อมกับพยายามหลบหน้า ซ่อนน้ำตาเอาไว้

“ช...ช...ช่างมันเถอะ ช่างมัน ไม่เป็นไรหรอก บางครั้ง ความจริงมันก็ผกผันกับความฝันอย่างนี้แหละ แต่ถึงไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะยังไงซะ นายก็ยังเป็นไอ้บอดดินระเบิดในความทรงจำของพวกเราอยู่เสมอ...”

ผมกลั้นสะอื้นกล่าวออกไป น้ำเสียงขาดหายขึ้นมาเฉยๆ ก่อนแข็งใจกล่าวต่อว่า

“...และที่สำคัญ เรายังคงเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

พูดจบ จึงยื่นมือไปตบบ่าประชาเพื่อนเก่าอย่างปลอบโยน ก่อนกอดคอพาเขาเข้าสู่งานเลี้ยงที่ใกล้เลิกราเต็มที

ระหว่างเดินกลับไปสู่งานเลี้ยงเพื่อนนักเรียนเก่า เม็ดน้ำตาแวววาวดุจดังดวงดาวบนฟากฟ้ายามนั้น ที่สะกดกลั้นเอาไว้ตั้งแต่แรกที่พบกับประชา พลันก็ไหลพรั่งพรูสู่พรมสีดำนั้นไปตลอดทาง น้ำตาแห่งความเสียใจที่ว่า

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมลืมเลือนเพื่อนเก่าผู้แสนอาภัพของผมคนนี้ไปได้อย่างไรกันหนอ?”

................................................

Edited by รัน*

กลกามา

“ผ่าเถอะ ! อุบาทว์จริงๆ”

ดำสบถลั่น ขณะโผล่พรวดออกจากซอยเล็กๆ มายืนหอบแฮ่กๆ ลิ้นห้อยเหมือนหมาอยู่ริมถนนใหญ่ แสงจากพระจันทร์กลมเบี้ยว ลอยหรุบหรู่เหนือตึกสูงของกรุงเทพมหานคร สะท้อนสีหน้าเด็กหนุ่ม ที่ยังคงไม่หายจากอาการตื่นตะลึง

หัวกบาลเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า

“ทำไมเรื่องบ้าๆ อย่างนี้ จึงต้องมาเกิดขึ้นกับกูด้วยวะ?”

............................

เย็นที่ผ่านมา หลังเลิกงานในร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ย่านคลองถม และกำลังจะกลับห้องเช่าที่วงเวียนใหญ่ตามปกติ เฮียเจ้าของร้านเกิดมีงานด่วน ต้องบินไปเจรจาธุรกิจที่เชียงใหม่กะทันหัน

อาจเพราะในบรรดาลูกจ้างทั้ง 5 คน เฮียสนิทสนมกับเขาที่สุดก็เป็นได้ เฮียจึงสั่งให้เขาอยู่นอนเป็นเพื่อนเมียที่ห้องว่างชั้นล่าง

ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีลูกจ้างคนไหนเคยได้นอนค้างที่ร้านเลย หลังเลิกงาน จะมีเพียงนายจ้างสองผัวเมียที่เพิ่งข้าวใหม่ปลามัน นอนอยู่ที่ชั้นบนของร้านเท่านั้น

“เจ๊เขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในชีวิตส่วนตัวของเราว่ะ เสร็จแล้วก็บ้านใครบ้านมันละกันนะ”

เฮียเคยบอกพวกเขาอย่างนั้น ในคืนหนึ่งที่มีงานล้นมือ ต้องอยู่ทำงานล่วงเลยกันจนถึง ดึกดื่น

แม้ในตอนแรก ดำพยายามปฏิเสธจะไม่ขอนอนค้าง โดยยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมาอ้าง

“ทำไม ไม่ให้ญาติเฮียหรือญาติเจ๊มานอนเป็นเพื่อนละครับ ?”

“เฮ้ย ! ต่างคนต่างก็มีภาระกันทั้งนั้น”

เฮียพูดเสียงดัง มีเจ๊ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงเดินไปหยิบเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงชาวเลสีดำ ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ จากมุมหนึ่งของร้าน มายื่นให้

“แล้วพรุ่งนี้ ผมจะใส่ชุดไหนทำงานละครับเฮีย ?”

“เรื่องมากจัง พรุ่งนี้เช้าก็กลับไปเปลี่ยนสิโว้ย! ”

ทว่าที่สุด ดำก็ต้องยอมจำนน...

กระทั่งตกดึก ดำหลับเพลินๆ เสียงเจ๊ก็มาเรียกที่หน้าห้อง บอกว่าไฟในห้องนอนดับ ให้ช่วยไปดู ทันทีที่ประตูเปิดผ่าง ดำก็หงายหลังผึ่ง เมื่อแลเห็นร่างอวบในชุดนอนสีชมพูบางๆ มายืนขาวล่อนใต้แสงไฟ เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี รีบจ้ำพรวดๆ ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน

ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าไปในห้อง พลันใบหน้าของดำก็ต้องซีดเผือดลง เพราะในความสลัวที่มีแต่แสงสว่างจากจอโทรทัศน์ขนาด <?:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:smarttags" />29 นิ้ว มีเครื่องเล่น VCD ที่สมบัติ เมทะนีโฆษณา วางอยู่ข้างๆ ตรงปลายเตียง ภาพฝรั่งหญิงชายคู่หนึ่ง กำลังเปลือยกายสำเริงสำราญกันอย่างถึงพริกถึงขิง จึงได้มาปรากฏแก่สายตา เสียงสูดปากราวกับกินพริกขี้หนูสวนเข้าไปสักกำมือ ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้อง เด็กหนุ่มกลั้นใจ ข่มเสียงถามหาไฟฉาย เพื่อจะใช้ดูดวงไฟนีออนบนเพดาน

“ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกน่า”

ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้น

“สนใจเจ๊ดีกว่า”

พูดจบ หล่อนก็ขยับร่าง มายืนจังก้าตรงหน้า ระยะห่างไม่เกินศอก น้ำหอมกลิ่นฉุนลอยฟุ้งมาถีบจมูก

“เคยดูรึเปล่า... า...า... ?”

หล่อนลากเสียงยาวยวนยั่ว ชายตาไปที่จอโทรทัศน์

ดำไม่ตอบ ขมวดคิ้วถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ๊ที่เคยเป็นคนเรียบร้อยราวผ้าพับไว้ แต่ทำไมตอนนี้จึงกลายมาเป็นนางแมวยั่วสวาทไปได้

ข้างฝ่ายเจ๊ซึ่งจ้องมองเขาไม่วางตา ยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้า ระเรื่อยลงมาจนถึงแผงอกกำยำนอกเสื้อยืด

“เธอหล่อเหลือเกิน รู้ตัวไหม ดำ ? เจ๊แอบหลงรักเธอ และอยากอยู่ใกล้ชิดเธออย่างนี้มานานแล้ว”

วินาทีนั้น สำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดีเกือบจมหายไปใต้อำนาจมืดอยู่รอมร่อ หากดำจะไม่ฉุกคิดถึงเฮีย ผู้หยิบยื่นงานให้ เมื่อแรกเข้ามาในป่าคอนกรีตนี้ใหม่ๆ โดยพกพาเอาความรู้เพียงชั้นม.3 ติดตัวมาจากท้องนาเท่านั้น

สำนึกนั่นเอง ที่ทำให้ดำโพล่งพูดออกไปว่า

“เจ๊ช่วยเอามือออกไปเถอะครับ ทำอย่างนี้ มันไม่ดีกับเฮีย”

“ฟังนะ ดำ เฮียจะไม่มีทางรู้หรอก ถ้าเราไม่พูด”

“ถึงเฮียจะไม่รู้ แต่ผมกับเจ๊ก็รู้นี่”

“เอาละ เธออยากได้อะไร บอกมาเถอะ เจ๊จะให้ทุกอย่าง เจ๊รักเธอนะ ดำ”

เจ๊รีบยื่นข้อเสนอ ชูมือที่มีธนบัตรใบละร้อยอยู่ปึกหนึ่ง ดำไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร แต่มันกำลังถูกยัดเข้ามาในมือเขา พร้อมกับที่เจ๊ค่อยๆ เขยิบร่างเข้าใกล้กว่าเดิม ดำรีบยันร่างนั้นให้ออกห่าง กำเงินปึกนั้นไว้ในมือแน่น

“เจ๊รักผมจริงๆ หรือ?” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียบๆ

หล่อนทำท่าจะโผเข้ามาอีก แต่ดำก็ยกทั้งมือทั้งเท้าห้ามไว้

“โธ่ ! ดำ สาบานได้ เจ๊รักเธอ”

“ขอบคุณ!”

สิ้นเสียง ดำขว้างเงินปึกนั้นใส่หน้าหล่อนจนกระจาย อีกมือหนึ่งตบเพี๊ยะเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง ลึกๆ แล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกสะใจประหลาด เจ๊ล้มกลิ้งลงไปนอนกับพื้น แหงนหน้าตกตะลึงขึ้นมองดำ

“ก้มลงไปเก็บเงินของเจ๊คืนไป เก็บมันไว้ในหัวใจสกปรกของเจ๊ และจงจำไว้ว่า เงินของเจ๊ ซื้อหัวใจผมไม่ได้”

ดำตะคอกคำพูดที่จดจำมาจากละครโทรทัศน์หลังข่าวเสียงลั่น ก่อนเผ่นแน่บออกจากห้องนอน กระโดดลงบันไดทีละ 2 ก้าว วิ่งออกนอกร้านไปทางประตูหลัง ลัดเลาะตามซอยเล็กแคบที่จะทะลุไปยังถนนเจริญกรุง...

............................

เด็กหนุ่มสะบัดหัวไล่เรื่องเลวร้ายไปจากหัว ดวงตาเหน็ดเหนื่อยมองล่อกแล่กไปทั่วบริเวณ แลเห็นป้ายรถเมล์ลิบๆ ตา เริ่มต้นสืบเท้าเข้าไปหา

ทันใดนั้น รถเก๋งคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดเทียบข้างๆ กระจกด้านคนขับไหลพรืดลงมา

“เฮ้ ! ดำ ขึ้นรถไปนอนที่ร้านกันเถอะ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ไม่มีรถเมล์แล้วล่ะ” ดำทำท่าตกใจเหมือนถูกผีหลอก เมื่อเห็นเฮียมานั่งยิ้มเผล่หลังพวงมาลัยรถ มีเจ๊ในชุดเสื้อคลุมยาวมิดชิดนั่งเคียงข้าง ทั้งที่ยังงงๆ ดำเงอะงะไปเปิดประตูหลังและก้าวเข้าไปนั่งในรถ

“ฉันต้องขอโทษแกด้วย ที่ฉันกับเมียวางแผนลองใจแกอย่างนี้”

“ลองใจ ?” ดำตีสีหน้างงหนักขึ้นไปอีก

“เอ่อ ... คืออย่างนี้ นับจากนี้ ฉันคงต้องออกต่างจังหวัดเพื่อไปติดต่องานมากขึ้น จึงอยากหาใครสักคนมานอนเป็นเพื่อนเมีย ในตอนที่ฉันไม่อยู่ ฉันกับเมียก็เลยอยากจะทดสอบดูว่า เราสามารถไว้ใจแกได้จริงๆ หรือไม่ จึงช่วยกันวางแผนนี้ขึ้นมา” เฮียพูดยิ้มๆ ชำเลืองมองเจ๊ที่ไม่มีคำพูดใดๆ แล้วเหลียวหน้ากลับมาที่ดำ

“เหตุการณ์ทั้งหมด ฉันได้เห็นได้ยินตลอด เพราะแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน แกนี่มันยอดมนุษย์จริงๆ เลยว่ะ มิเสียแรงที่ชุบเลี้ยงมาหลายปี”

เฮียหัวเราะเสียงลึกอยู่ในคอ ขณะที่ดำนั่งตัวแข็งทื่อ

สักพัก รถเก๋งจึงแล่นมาจอดที่หน้าร้านซึ่งเป็นตึกแถวหลายชั้นริมถนน ดำลงไปไขกุญแจ เปิดประตูซี่กรงเหล็กด้านหน้า ทั้งหมดพากันเข้ามาในร้าน เจ๊และเฮีย เดินมาส่งดำที่หน้าห้อง แล้วทั้งสองจึงแยกเดินขึ้นชั้นบน

แต่แล้วเฮียก็หยุดชะงักตรงกลางบันได ปล่อยให้เจ๊ที่มีรอยยิ้มตรงมุมปากก้าวเดินต่อไปยังห้องนอน หมุนตัวกลับมาพูดกับดำว่า

“อืม...เราตกลงกันว่า อยากให้แกมาอยู่ที่นี่ด้วยกันเสียเลย จะได้ช่วยดูแลเรื่องขโมยขโจรให้ด้วย ยังไงพรุ่งนี้ แกก็บอกคืนห้องเช่าเขาเลยละกันนะ”

ดำพยักหน้าหงึกๆ เหมือนไก่ผงกหัว

....................

“ก๊อก ก๊อก”

พักใหญ่ๆ ในความเงียบสงัดของราตรี ดำยังคงนอนหลับตานิ่งอยู่ชั่วขณะ สูดหายใจลึกๆ แล้วลุกพรวดไปที่ประตู พลันที่เปิดประตูออกไป ร่างของเฮียก็มายืนยิ้มหวานอวดร่างยักษ์อยู่แล้ว ทั้งสองผวาเข้ากอดและแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม

“เฮียบอกแล้วไง เราต้องได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นกว่าเดิม”

ดำในชุดนอนผู้หญิง ผ้าชีฟองสีแดงเพลิงแนบร่างล่ำบึ๊ก กางเกงในจีสตริงสีเดียวกันโผล่แลบออกมาให้เห็นรำไร ลิปสติกสีม่วงอาบไล้ริมฝีปาก ยืนยิ้มบางๆ บิดตัวเอียงอายในอ้อมแขนใหญ่ มีมือที่เหมือนกิ้งกือยักษ์ไต่ไปทั่วร่าง

“เอ่อ...ว่าแต่ว่า จ...จ...เจ๊หลับแน่แล้วหรือ เฮีย” เสียงเครือๆ เอ่ยถาม

“ยานอนหลับของเฮีย ต่อให้ช้างกินเข้าไปแค่ครึ่งเม็ด ก็หลับเป็นตาย แต่นี่เฮียใส่ลงไปทั้งเม็ดในน้ำเย็นที่ให้เจ๊ดื่ม แล้วจะไปเหลืออะไรละ ดำ”

เฮียอู้อี้ตอบ ขณะขบติ่งหูเบาๆ พลางเอื้อมมือไปดึงประตูให้ปิดเข้ามา ช้อนร่างดำที่ชุดนอนรูดลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้วมาอุ้มไว้ ก้าวตรงไปยังเตียงนอน

แต่อนิจจา !

ดำจะรู้ไหมว่า ระหว่างที่เขากำลังรุกรบกับเฮียเป็นพัลวันอยู่นั้น ใครบางคนในชุดนอนสีชมพู กำลังจ้องมองดูภาพเหตุการณ์จากจอโทรทัศน์ ภายในห้องนอนชั้นบนอยู่ด้วยหัวใจระทึก !

....................

เวลาผ่านไปราว 2 เดือน เหตุการณ์ดำเนินไปเป็นปกติ กระทั่งวันหนึ่ง ในราวตี 3 หลังร่วมหลับนอนกันเสร็จ เฮียก็ขึ้นไปนอนยังห้องนอนชั้นบนเหมือนทุกครั้ง

จู่ๆ ดำก็เกิดปวดท้องรุนแรงขึ้นมา พยายามค้นหายาแก้ปวดท้องไปทั่ว แต่ก็ไม่พบ เขาตัดสินใจเดินโซเซเอามือกุมท้อง ขึ้นไปยังห้องนอนของสองผัวเมีย หวังจะขอยากินทุเลาอาการ

แต่พอไปถึง ดำก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจทั้งมวล เมื่อหูแว่วเสียงแผ่วๆ ฟังไม่ได้ศัพท์แต่คล้ายๆ คุ้นเคย เล็ดรอดออกมาจากภายในห้องนั้น ความสงสัยฉุดมือดำให้ปีนขึ้นไปบนหลังตู้เก็บของเพื่อแอบดู

จากช่องลมเหนือประตู เมื่อดวงตาปรับสภาพกับความสลัวในห้องได้แล้ว ดำก็ต้องปากอ้าตาถลนกับภาพที่เห็น ร่างเปลือยของเฮียกับเจ๊กำลังก่ายเกยกันอย่างเมามัน สลับกับการเงยหน้าจ้องมองไปยังจอโทรทัศน์ที่ปลายเตียง เครื่องเล่น VCD กำลังฉายภาพร่วมรักระหว่างเขากับเฮียที่เพิ่งยุติไปสดๆ ร้อนๆ

ดำนึกไปถึงกล้องวงจรปิดจิ๋วไร้สายที่ตั้งแผงขายทุกวันที่หน้าร้าน พลันรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ความโมโหเต้นตุบๆ บนผนังท้องแทนความเจ็บปวด รีบย่องลงไปที่ห้องครัวชั้นล่าง หยิบเอามีดปังตออันใหญ่มาถือไว้ในมือมั่น จ้องมองดูมันด้วยรอย ยิ้ม...

แต่เป็นยิ้มเฉพาะริมฝีปาก หากทว่าดวงตาวาว และเย็นชาเป็นที่สุด !

............................

เขียนโดย รัน

ภาพจาก : http://my.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=256349& ;chapter=3

ผู้เป็นแม่

แม่ผู้แก่เฒ่าเดินไม่ได้คนหนึ่ง เป็นที่รำคาญใจของลูกชาย เหลือเกิน...
สมัยนั้นยังไม่มีสถานสงเคราะห์คนชรา
จึงไม่รู้ว่าจะเอาแม่ไปฝากใครให้เลี้ยงแทน...
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแบกเอาไปปล่อยป่าให้อยู่ตามยถากรรม...
ระหว่างทาง แม่ไม่วอนขอ... ไม่ถาม... ไม่ว่าอะไร...
ตั้งใจหักกิ่งไม้ตามทาง เรื่อยไป เข้าป่าลึก...
ไกลมากแล้ว...ลูกชายวางแม่ลงบนโขดหิน แล้วหันหลังเดินกลับทางเดิมไป...
... ตอนนี้เองที่แม่ตะโกนตามหลังลูกชายไปว่า.....

"ลูกเอ๋ยเดินตามรอยกิ่งไม้ที่แม่หักไว้ให้นะ จะได้ไม่หลงทาง"

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

ลดความอ้วน อย่า งดแป้ง จะส่งผลต่อสมอง และความจำ

การจำกัดอาหารประเภทแป้งอาจลดทอนความสามารถในการจดจำคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับสมอง โดยนักวิจัยพบว่า ความสามารถในการจดจำลดลงทันทีหลังลดน้ำหนักตามสูตรแอตกินส์ ที่เน้นการห้ามกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง น้ำตาล มันฝรั่ง รวมถึงผักและผลไม้บางอย่าง แต่ให้กินโปรตีนและไขมันแทน โดยสูตรนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษปัจจุบัน
ดร.ฮอลลี เทย์เลอร์ ผู้นำการวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟต์ในบอสตัน กล่าวว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า อาหารที่กินเข้าไปอาจมีผลทันทีต่อพฤติกรรมความคิดของคนเรา
“สูตรลดน้ำหนักแบบจำกัดหรืองดอาหารประเภทแป้งมีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะทำให้เกิดผลลบต่อการคิดและกระบวนการรับรู้”
การศึกษาชิ้นนี้เน้นที่ผลกระทบของการลดน้ำหนักแบบจำกัดคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อพลังสมอง โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้หญิงอายุ 22-55 ปี จำนวน 19 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่มๆ หนึ่งจำกัดอาหารประเภทไขมัน อีกกลุ่มจำกัดคาร์โบไฮเดรต
ผลปรากฏว่าภายในหนึ่งสัปดาห์ ผู้หญิงสิบคนที่จำกัดอาหารประเภทแป้งทำคะแนนทดสอบการทำงานของสมองได้น้อยกว่าอีกกลุ่ม โดยการทดสอบมุ่งที่สมาธิ ความจำระยะสั้นและระยะยาว ความสนใจในการมอง และความจำจากการเรียนรู้และการทำความเข้าใจ
ทั้งนี้ กลุ่มที่จำกัดคาร์โบไฮเดรตจะทำคะแนนจากภารกิจความจำได้น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่จำกัดไขมัน เวลาในการตอบสนองช้าลงเช่นกัน ขณะที่ความจำจากการมองเห็นไม่ดีนัก แต่ทำคะแนนในการทดสอบความสนใจระยะสั้นได้ดี และไม่มีความแตกต่างในส่วนระดับความหิวระหว่างทั้งสองกลุ่ม
นักวิจัยกล่าวในวารสารแอปเพไทต์ว่า สูตรอาหารที่จำกัดแป้งอาจไปลดจำนวนกลูโคส หรือระดับเลือดในน้ำตาลที่ส่งไปเลี้ยงสมองและให้พลังงานแก่เซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทมีพลังน้อยลง
“แม้มีการติดตามผลเพียงสามสัปดาห์ แต่ข้อมูลที่ได้บ่งชี้ว่าอาหารอาจส่งผลต่อเรามากกว่าเรื่องของน้ำหนักตัว
“สมองต้องการกลูโคสเพื่อให้พลังงาน และอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำอาจบั่นทอนการเรียนรู้ ความจำ และการคิด”

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2551 13:12 น.

เล่นเกมส์ เตตริส สกัดทุกข์

เดลิเมล์ – นักวิจัยเมืองผู้ดีพบการเล่นเกม ‘เตตริส’ ของนินเทนโดในคอมพิวเตอร์ ช่วยลบความทรงจำเลวร้ายและความเครียดหลังโศกนาฎกรรมเจ็บปวด
นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดศึกษาจากอาสาสมัครที่ดูหนังที่มีฉากการบาดเจ็บและล้มตาย และให้อาสาสมัครครึ่งหนึ่งเล่นเกมสิบนาทีหลังหนังจบครึ่งชั่วโมง ซึ่งพบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่ได้ดูหนังนึกถึงภาพเหตุการณ์เลวร้ายในหนังน้อยกว่าอีกกลุ่ม เชื่อว่าเป็นเพราะเกมอาจช่วยสกัดไม่ให้ความทรงจำนั้นถูกบันทึกในสมอง
นักวิจัยเผยว่าที่เลือกเกมเตตริสเพราะต้องการให้ผู้เล่นใช้พื้นที่สมองส่วนใหญ่ เนื่องจากเกมนี้กำหนดให้ผู้เล่นต้องย้ายและจัดอิฐสีลงช่องให้ถูกต้อง และเชื่อว่าการค้นพบนี้อาจนำไปสู่วิธีใหม่ในการบำบัดเหยื่อความรุนแรง
อย่างไรก็ดี นักวิจัยยอมรับว่ายังไม่รู้ว่าเกมคอมพิวเตอร์อื่นๆ จะให้ผลในแบบเดียวกันนี้หรือไม่

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มกราคม 2552 11:10 น.

กาแฟ กับ อาการประสาทหลอน

คอกาแฟมาลองอ่านกันหน่อยนะคะ วันนี้มีข่าวการวิจัยเกี่ยวกับกาแฟและอาการประสาทหลอนมาฝากค่ะ นำมาจาก 2 หนังสือพิมพ์เลย แต่ว่ามีเนื้อหาเดียวกัน ลองอ่านและวิเคราะห์กันดูนะคะ
> ที่มาจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มกราคม 2552 20:11 น.

ดื่มกาแฟหนักระวังประสาทหลอน

เดลิเมล์ - เตือนการดื่มกาแฟสำเร็จรูปวันละกว่า 7 แก้ว เพิ่มความเสี่ยงในการได้ยินหรือเห็นภาพหลอนสามเท่าเมื่อเทียบกับการดื่มกาแฟแค่แก้วเดียว
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเดอร์แรมของอังกฤษ ขอให้นักศึกษา 219 คนบันทึกจำนวนกาแฟที่กินในแต่ละวัน โดยอิงกับข้อเท็จจริงว่ากาแฟสำเร็จรูปแต่ละแก้วมีคาเฟอีนอยู่ 45 มิลลิกรัม รวมทั้งสอบถามนักศึกษาว่ามีประสบการณ์ประสาทหลอนบ่อยแค่ไหน ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาตามที่ระบุไว้ด้านบน โดยนักวิจัยเชื่อว่าต้นเหตุมาจากการที่คาเฟอีนไปกระตุ้นระดับคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียด
ทั้งนี้ สมาคมผู้ผลิตกาแฟของอังกฤษระบุว่า การดื่มกาแฟวันละ 4-5 แก้วปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป และอาจดีต่อสุขภาพในบางด้าน ขณะที่สำนักงานมาตรฐานอาหารแนะนำให้สตรีมีครรภ์จำกัดการบริโภคคาเฟอีนไม่ให้เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

> ที่มา จาก ไทยรัฐออนไลน์ [16 ม.ค. 52 - 00:23]

ซดกาแฟจัดประสาทหลอน ฤทธิ์คาเฟอีนซ้ำเติมร่างกายให้เครียดจัด

นักวิจัยเมืองน้ำชากล่าวเตือนว่า ผู้ที่กินกาแฟ ชา ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มเสริมพลัง ที่มีคาเฟอีนมากๆ อาจจะมีอาการประสาทหลอนได้ เห็นผีเห็นสาง หรือแว่วเสียงแปลกๆ

นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเดอแฮม กล่าวว่า คอกาแฟที่ดื่มกาแฟต้มหรือชง เกินกว่าวันละ 3 ถ้วย หรือเทียบเท่ากับกาแฟสำเร็จ 7 ถ้วย อาจจะมีโอกาสเกิดประสาทหลอน มากกว่าคนที่ดื่มเพียงวันละถ้วยกว่ากันถึง 3 เท่า

หากแต่บรรดานักวิชาการ ต่างพากันคัดค้านว่า การศึกษายังไม่ได้เป็นการพิสูจน์ถึงความเกี่ยวพันที่ไม่เป็นทางการ และได้ย้ำว่า การมีอาการประสาทหลอน ไม่ใช่เครื่องแสดงอาการทางจิตที่แน่ชัด และกล่าวว่าคนทั่วไปที่ต่างก็เคยได้ยินเสียงแปลกๆ ก็มีอยู่มากประมาณร้อยละ 3

ทางหัวหน้าคณะวิจัยนายไซมอน โจนส์ นักศึกษาปริญญาเอก วิชาจิตวิทยา โต้ว่า ครั้งนี้เป็นการศึกษาถึงประสบการณ์ของการมีประสาทหลอน จากสาเหตุต่างๆอย่างกว้างๆหนแรก อาจกล่าวสรุปได้ว่า กาแฟได้ไปช่วยซ้ำเติมให้ความเครียดของจิตใจและอารมณ์ให้กลับหนักยิ่ง

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

งานแบบนี้ก็มีด้วย น่าอิจฉาจัง

ยังมีงานในโลกนี้อีกมากมายนะคะที่ยังไม่ถูกสำรวจ เรามาอ่านเรื่องนี้ประดับความรู้กันเถอะค่ะงานแบบนี้มีใครบ้างไม่อิจฉา ท่องรีสอร์ตทดสอบสไลเดอร์ ลินช์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์กับงานที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก

เดลิเมล์ - คนทำงานนั่งโต๊ะหลายคนคงอดอิจฉาไม่ได้ เมื่อรู้ว่าปีนี้ ทอมมี ลินช์ ต้องเดินทาง 27,000 ไมล์ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบสไลเดอร์น้ำในรีสอร์ตต่างๆ ทั่วโลก

ลินช์ วัย 29 ปี ทำงานให้กับเฟิร์ต ชอยส์ ยักษ์ใหญ่ผู้จัดจำหน่ายแพคเก็จท่องเที่ยวของอังกฤษ โดยหน้าที่ของลินช์คือตรวจสอบความสูง ความเร็ว คุณภาพของน้ำ และการแลนดิ้งของสไลเดอร์ รวมถึงแง่มุมด้านความปลอดภัยทั้งหมด

“ผมทำงานที่วิเศษสุดในโลก ไม่มีใครเชื่อเวลาผมเล่าเรื่องงานให้ฟัง บางคนนั่งทำงานในออฟฟิศทั้งวัน แต่ผมต้องบินไปทั่วโลกเพื่อลองเล่นสไลเดอร์น้ำ"

“ค่อนข้างลำบากสักหน่อยเวลาอากาศหนาวยะเยือก และผมต้องถอดเสื้อผ้าเหลือแค่กางเกงว่ายน้ำไปทดสอบสไลเดอร์ แต่นอกจากนั้นแล้ววิเศษสุดๆ เลย"

“หน้าที่ของผมมีอะไรมากมายกว่าการเล่นสไลเดอร์อย่างที่หลายคนอาจคิด สระว่ายน้ำและสไลเดอร์เป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับวันหยุดพักผ่อนของครอบครัว ทุกอย่างจึงต้องถูกต้องและปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์”
ลินช์บอกว่า อะควา แฟนตาซี ปาร์กในคูซาดาซี ตุรกี เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เขาโปรดปรานที่สุด เช่นเดียวกับที่เบอร์นาลแมดนาในคอสตาเดลโซล

หน้าที่ของเขาคือ การทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของสไลเดอร์น้ำในรีสอร์ตทั่วโลกตามคำสั่งของเฟิร์สตชอยซ์
ปีที่ผ่านมา เขาตระเวนทดสอบสไลเดอร์น้ำในฮอลิเดย์วิลเลจในลานซารอต มาร์จอกา อียิปต์ ตุรกี คอสตาเดลโซล ไซปรัส อัลการ์ฟ สาธารณรัฐโดมินิกัน และเม็กซิโก
สำหรับปีนี้ เขาจะต้องเดินทางไปทดสอบคุณภาพสไลเดอร์น้ำในรีสอร์ตแห่งใหม่ในกรีซ ตุรกี ฟลอริดา จาไมกา และอิบิซา
หนุ่มลิเวอร์พูลผู้นี้ที่มีตำแหน่งงานในชื่อเก๋ไก๋ว่า ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ ได้รับการว่าจ้างให้ค้นหาสระว่ายน้ำที่ดีที่สุดเพื่อบรรจุไว้ในคอลเล็กชันสแปลชรีสอร์ตใหม่ของเฟิร์สต์ชอยซ์ นอกจากนี้ ลินช์ยังมีหน้าที่ในการตรวจสอบให้มั่นใจว่ารีสอร์ตแห่งใหม่ได้มาตรฐานตามที่บริษัทกำหนด
งานของผมมีส่วนที่หนักอยู่เหมือนกัน เพราะต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมาย โดยเฉพาะการตรวจสอบสไลเดอร์น้ำ”
ด้านโฆษกหญิงของเฟิร์สต์ชอยซ์กล่าวว่า “ที่บริษัทของเรา เราเข้าใจว่าสระว่ายน้ำมีความสำคัญเพียงใดต่อเด็กในช่วงวันหยุดพักผ่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เรามอบหมายให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งทุ่มเทให้กับการค้นหาว่ารีสอร์ตที่มีสไลเดอร์แห่งใดดีที่สุดในโลก”
งานนี้มีใบสมัครเข้ามาไม่ขาดสายอย่างที่คุณอาจคิดไว้
“ทอมมีรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองอย่างเคร่งครัด และเขาไม่เคยบกพร่องเลยในภารกิจค้นหาสระว่ายน้ำที่ดีที่สุดในโลก เขาพยายามและทดสอบสไลเดอร์ทุกแห่ง”

ที่มา และภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์ 17 มกราคม 2552 10:57 น.

ความเศร้า ก็มีประโยชน์ นะ

 

มองโลกแง่ใหม่ เศร้าเสียใจไม่ผิด สร้างภูมิคุ้มกันรับมือปัญหาชีวิต

การเผชิญหน้ากับความเศร้าจะทำให้คนเราเข้มแข็งขึ้น และมีภูมิคุ้มกันความท้าทายของชีวิตมากขึ้น
เดลิเมล์ – นักวิจัยชี้อาการซึมเศร้าแท้จริงแล้วดีต่อคนเรา เพราะทำให้คนล้มลุกขึ้นมาอย่างมั่นคงขึ้น ดังนั้น การใช้ยารักษาอาการนี้ราวกับเป็นโรคๆ หนึ่งจึงไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง เพราะจะเท่ากับเป็นการปิดโอกาสในการเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรค และขับไล่แรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น
ความเศร้าจะทำให้คนเราแข็งแรงขึ้น สามารถรับมือกับความท้าทายของชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และอาจนำไปสู่ความสำเร็จในท้ายที่สุด ตัวอย่างของแนวคิดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล, อับราฮัม ลินคอล์น, เซอร์ ไอแซ็ก นิวตัน และบีโธเฟน ที่ล้วนแล้วแต่เคยจมอยู่กับอาการซึมเศร้ามาก่อน
ปัจจุบัน มีจิตแพทย์จำนวนมากขึ้นเริ่มตั้งคำถามว่า แพทย์และบริษัทเวชภัณฑ์กระตือรือร้นเกินไปหรือไม่ในการรักษาอาการซึมเศร้าด้วยยา ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงและเป็นอันตรายต่อวิวัฒนาการทางอารมณ์ของผู้ที่มีปัญหา
การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าความเศร้าอาจสอดแทรกด้วยฟังก์ชันในการปกป้อง ตัวอย่างเช่น ลิงใหญ่ที่ไม่ได้หนีไปแอบเลียแผลใจหลังสูญเสียสถานะในฝูง อาจยังคงท้าทายจ่าฝูงต่อไป ซึ่งอาจทำให้ตัวมันเองบาดเจ็บหรือถึงตายได้
ศาสตราจารย์เจอโรม เว็กฟิลด์ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐฯ เชื่อว่าความเศร้าช่วยให้คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง ด้วยการหยุดฟังก์ชันการทำงานปกติ ทำให้คนเรามีเวลามาใส่ใจกับบางเรื่องอย่างจริงจังชั่วขณะ
รายงานในนิตยสารนิวไซเอนทิสต์ยังระบุว่า ความเศร้าอาจทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งทางจิต เพื่อไม่ให้เราทำผิดซ้ำซาก เช่น ความเสี่ยงที่จะต้องเศร้าทำให้เราไม่ใจง่ายในความสัมพันธ์
พอล คีดเวลล์ จิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ เวลส์ สำทับว่าแม้แต่อาการซึมเศร้าขั้นรุนแรงยังช่วยปกป้องคนผู้นั้นจากความเครียดระยะยาว กล่าวคือถ้าไม่ให้เวลาในการใคร่ครวญกับสภาพที่เป็นอยู่ คนๆ นั้นอาจติดอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรังจนกว่าจะท้อแท้หมดแรงไปเองหรือตายไป

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 18 มกราคม 2552 17:58 น.

ลดความอ้วน ด้วยตะเกียบคู่เดียว!

 

ลดความอ้วนด้วยตะเกียบ ช่วยถ่วงให้กินได้ช้าลงและคำเล็กลง

ถ้าอยากลดความอ้วน ไม่ต้องไปคิดหายากิน และออกกำลังให้ยุ่งยาก ใช้วิธีง่ายๆเปลี่ยนมาพุ้ยข้าวด้วยตะเกียบเสีย ก็จะทำได้ดังใจ

นายคิมิโกะ บาร์เบอร์ ตั้งต้นเป็นเจ้าตำรับการลดน้ำหนักด้วยตะเกียบ ผู้แต่งตำราเรื่อง “การควบคุมอาหารด้วยตะเกียบ” กล่าวถึงคุณของการกินด้วยตะเกียบว่า “มันจะทำให้เรากินได้ช้าลง และดังนั้นจะพลอยกินน้อยลงไปด้วย การใช้ตะเกียบยังทำให้ต้องกินด้วยคำเล็กลง เคี้ยวได้ละเอียดขึ้น ใช้เวลากินนานขึ้น และทำให้กระเพาะย่อยได้ง่ายขึ้น”

เขากล่าวยอมรับว่า การกินอาหารฝรั่งบางอย่างด้วยตะเกียบ คงจะลำบากน่าดู แต่ก็กลับเป็นการดี เพราะจะทำให้ต้องกินช้าลง มีเวลาคิดไตร่ตรองถึงอาหารมากขึ้น และช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงด้วย

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ [22 ม.ค. 52 - 00:17]

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

ยา ไม่รู้จักลืม

ข่าวดี ผลิต ยาช่วยความจำ รอรับอนุญาตขายอีกหน่อยคนเราจะไม่รู้จักลืมกันแล้ว กินยาเม็ดบำรุงความจำถ้าหากบางครั้งบางคราว นึกหมายเลขโทรศัพท์เบอร์ใดเบอร์หนึ่งไม่ออก ก็อย่าเพิ่งเป็นทุกข์ไปเลย เพราะอีกหน่อยจะมียาเม็ดบำรุงความจำให้กินกันแล้ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ยาเม็ดบำรุงความจำ ซึ่งจะช่วยในการเข้าสอบไล่ และทำให้ผู้คนไม่ลืมวันครบรอบปีที่สำคัญๆ ได้ จะต้องมีวางขายตามร้านสะดวกซื้อ ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีนี้ โดยที่บริษัทยาหลายแห่ง ได้ตั้งใจจะผลิตเพื่อรักษาคนไข้โรคสมองเสื่อม โดยทำให้ฤทธิ์มันอ่อนลง แล้วนำไปขออนุญาตนำออกจำหน่าย

ที่จริงแล้วบริษัทยายักษ์ โดยการร่วมทุนของหลายชาติ ชื่อบริษัทแอสตรา เซเนกา ร่วมกับบริษัทยาทาร์กาเซปต์ของอเมริกา ได้ผลิตยาบำรุงความจำ เพื่อใช้รักษาผู้ที่สูญเสียความจำ เนื่องจากความแก่ชรา ขึ้นมาขนานหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ

อดีตกรรมการสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ นายสตีเวน เฟอริส ได้เปิดเผยว่า จะมีการอนุญาตให้ขายยาซึ่งมีฤทธิ์อ่อนหน่อยในฐานะยาสามัญตามร้านทั่วไป ในอีกไม่นาน “ผมเห็นว่า ยาแบบนั้น หากสามารถแสดงให้เห็นว่าใช้ได้ผลและปลอดภัย คงจะได้รับอนุญาต และถ้าหากออกขายได้ จะเป็นตลาดใหญ่มหึมาทีเดียว”

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ [22 ม.ค. 52 - 00:18]

สูตรคำนวณ เลือกคนรัก!

นักวิจัยเผยสูตรคณิตศาสตร์ซับซ้อน ย้ำเตือนสาวอย่าปล่อยตัวแต่เดตแรก
สูตรคณิตศาสตร์ชี้ว่าคู่ ‘ที่ดี’ เต็มใจที่จะดูใจกันนานๆ ก่อนมีสัมพันธ์แนบแน่น
เดลิเมล์ – นักวิจัยเผยสูตรคณิตศาสตร์ตอกย้ำคำสอนของคนที่ผ่านโลกมาก่อน ไม่ให้หญิงชายใจเร็วด่วนได้ปล่อยตัวปล่อยใจกันตั้งแต่เดตแรก นักวิจัยอังกฤษใช้สูตรคณิตศาสตร์อันซับซ้อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเกี้ยวพาราสีที่ช่วยให้ผู้หญิงกรองว่าที่คู่ครองที่ไม่สามารถพึ่งพิงได้ออกไป
ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ซีมัวร์ จากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน ใช้ทฤษฎีเกมซึ่งเป็นคณิตศาสตร์สาขาหนึ่งมาค้นหากระบวนการในการเดตระหว่างชายกับหญิง ผลลัพธ์ที่ได้สะท้อนคำแนะนำของผู้หญิงจากรุ่นสู่รุ่น จากป้าขี้บ่น พี่สาวคนโต และเพื่อนสนิท
โมเดลของซีมัวร์อิงกับความคิดที่ว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่สุดจากความสัมพันธ์ใหม่ เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นอาจจบลงตรงที่การมีลูกกับผู้ชายที่ไม่คู่ควร หรือกระทั่งผู้ชายที่ไข่ทิ้งไว้
งานวิจัยสรุปว่า การเกี้ยวพาราสีเป็นการต่อสู้ระหว่างเพศ โดยที่ทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนที่ประนีประนอมกันในการพัฒนาความสัมพันธ์ที่จะนำไปสู่สัมพันธ์ลึกซึ้ง

“การเกี้ยวพาราสีในสัตว์หลายสายพันธุ์กินระยะเวลานาน ตัวอย่างเช่น การเกี้ยวพาของมนุษย์อาจเกี่ยวข้องกับการดินเนอร์ ดูหนัง ออกไปเที่ยวเล่นที่นานเป็นเดือนหรืออาจเป็นปี”
“ฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมักเป็นผู้ชาย มักรับผิดชอบต้นทุนทางการเงินส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนทั้งสองเพศ ต้นทุนเวลาที่ทั้งคู่ใช้ร่วมกันกับกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ มีความสำคัญมาก ถ้าเช่นนั้นทำไมคนเราหรือสัตว์อื่นๆ จึงต้องเร่งรัดกระบวนการนี้เพื่อลดต้นทุน?”

“คำตอบอาจเป็นการที่การเกี้ยวพาที่ใช้เวลานานเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ผู้หญิงได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายที่ทำความรู้จักกันอยู่”

“การชะลอการมีเซ็กซ์จะทำให้ผู้หญิงลดโอกาสที่จะเลือกคู่ผิด”
โมเดลนี้ศึกษาการเกี้ยวพาราสีระหว่างชายกับหญิงในสังคมที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันการคุมกำเนิด โดยที่การเกี้ยวพาจบลงที่ผู้ชายหรือผู้หญิงยุติความสัมพันธ์ หรือหญิงสาวรับรักชายหนุ่ม
การศึกษานี้ยังอยู่บนสมมติฐานว่าผู้ชายมีเพียงสองประเภทคือ ดีกับเลว ตามความยินดีที่จะเป็นพ่อที่ดี กับผู้ชายที่หวังผลในการล่วงเกินผู้หญิง และได้ข้อสรุปว่าผู้ชายที่ดีเต็มใจที่จะรอดูใจกันนานๆ ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์
โมเดลนี้ศึกษาการเกี้ยวพาราสีในหลายรูปแบบเพื่อค้นหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดทั้งสำหรับชายและหญิง
นักวิจัยพบว่า เนื่องจากผู้ชายเลวมีแนวโน้มสูงที่จะออกจากเกมการเกี้ยวพาอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงจึงมีโอกาสมากขึ้นที่จะเลือกคู่ที่เหมาะสมด้วยการยับยั้งชั่งใจไม่ด่วนชิงสุกก่อนห่าม
“ผู้ชายที่เต็มใจที่จะใช้เวลานานๆ เพื่อวางรากฐานความสัมพันธ์กับผู้หญิง เป็นการส่งสัญญาณของการเป็นคู่ที่ดี การปลูกต้นรักที่ใช้เวลานานคือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับโอกาสที่มากขึ้นในการจับคู่ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นการจับคู่ที่ลงตัวและดีกับทั้งสองฝ่าย”
“นี่อาจช่วยอธิบายความเชื่อที่มีมายาวนานว่าผู้หญิงไม่ควรรีบร้อนมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายตั้งแต่นัดเจอกันครั้งแรก”
อย่างไรก็ตาม โมเดลนี้ไม่ใคร่ได้ผลนักในสังคมที่อุปกรณ์คุมกำเนิดช่วยขจัดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ และสังคมที่ผู้คนเพิกเฉยต่อความกดดันจากเพื่อนและสังคมที่มีต่อผู้ชายและผู้หญิง
กระนั้น ศาสตราจารย์ซีมัวร์เชื่อว่า โมเดลนี้ช่วยอธิบายว่าการเกี้ยวพาทำความรู้จักที่ใช้เวลานานๆ ของมนุษย์อาจวิวัฒนาการขึ้นในสังคมก่อนประวัติศาสตร์เมื่อนับหมื่นปีที่แล้วอย่างไร
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2552 09:55 น

รอยร้าวของรักแรก

แนะลบรอยความหลังรักครั้งแรก หากไม่อยากแบกทุกข์ตลอดชีวิต เดลิเมล์ – คนชอบพูดกันว่าน้อยคนนักที่จะลืมรักครั้งแรกได้ แต่งานวิจัยล่าสุดแนะนำให้ลบภาพความทรงจำแสนหวานนั้นเสีย ถ้าไม่อยากให้ความรักความหลังครั้งเก่าก่อนบั่นทอนความสุขไปตลอดชีวิต
นักสังคมวิทยาพบว่าความสุขของความรักสมัยเด็กๆ อาจกลายเป็นมาตรฐานที่เกินจริงที่ถูกนำไปตัดสินความสัมพันธ์ในอนาคต
รายงานการวิจัยระบุว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างหลักประกันความสุขระยะยาวในความสัมพันธ์คือ อย่าไปยึดติดกับความรู้สึกรักหัวปักหัวปำจากรักแรก
ผู้ที่มีมุมมองที่ยึดหลักความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองต้องการจากความสัมพันธ์มากกว่าจะพยายามปลุกความเสน่หารุนแรงแบบที่เคยมีร่วมกับคนรักเก่า มีแนวโน้มสมหวังในสัมพันธภาพระยะยาว
ข้อกล่าวอ้างนี้อยู่ในเอกสารงานวิจัยที่ชื่อว่า ‘เชนจิ้ง รีเลชันชิปส์’ ซึ่งเรียบเรียงแก้ไขโดยดร.มัลคอล์ม ไบรนิน จากสถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยเอสเส็กซ์ อังกฤษ
“ดูเหมือนว่าความลับของความสุขที่ยั่งยืนในความสัมพันธ์จะเป็นการข้ามผ่านความรักครั้งแรก ในโลกอุดมคติ คุณอาจตื่นขึ้นมาในความสัมพันธ์ครั้งที่สอง หากคุณยังห่วงหาอาวรณ์ความรักครั้งแรก และปล่อยให้ความรู้สึกนั้นมาเป็นมาตรฐานในใจ คุณจะรู้สึกว่าว่าที่คนรักในวัยผู้ใหญ่ของคุณน่าเบื่อและน่าผิดหวังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ปัญหาจะเกิดขึ้นหากคุณพยายามไม่เพียงแค่เพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่ต้องการจากความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังยึดติดกับความตื่นเต้นและความจริงจังที่เคยมีมาในประสบการณ์รักแรก

จอห์นนี เด็ป รักแรกที่ยากลืมเลือนของเคต มอสส์

“ทางออกชัดเจนมาก หากคุณสามารถปกป้องตัวเองจากความปรารถนารุนแรงในรักครั้งแรกได้ คุณจะมีความสุขในความสัมพันธ์ครั้งต่อๆ ไปมากขึ้น” ดร.ไบรนินอธิบาย

เคต มอสส์ น่าจะเก็บถ้อยคำเหล่านี้ไปตรึกตรองดูบ้าง ซูเปอร์โมเดลผู้นี้พบกับจอห์นนี เด็ปป์ ตอนที่เธออายุเพียง 21 ปี ทั้งคู่รักกันนานสี่ปี

หลายปีต่อจากนั้น เมื่อถามถึงผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มอสส์ตอบว่า “ฉันยังไม่เจอใครที่อยากอยู่ด้วยนานๆ ฉันไม่คิดว่าฉันตัดเยื่อไม่เหลือใยจากจอห์นนี เดปได้แล้ว”

รายงานฉบับนี้เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมในหมู่นักวิชาการ

ศาสตราจารย์เฮเลน ฟิชเชอร์ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยรัตเจอร์ในนิวเจอร์ซี สหรัฐฯ ชี้ว่าการแสวงหาอารมณ์ความรู้สึกรุนแรงเมื่อแรกรักช่วยให้ความสัมพันธ์อยู่รอด
ฟิชเชอร์ใช้เครื่องสแกน MRI สังเกตพฤติกรรมในสมองและพบว่ากิจกรรมในสมองของผู้ที่มีความสุขกับชีวิตแต่งงานในช่วงเวลากว่าสองทศวรรษ กับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นความสัมพันธ์ได้ไม่ถึงครึ่งปีมีความคล้ายคลึงกัน
“ฉันพบหลักฐานทางชีวภาพและกายภาพที่ไม่อาจคัดค้านได้ว่า ความรักโรแมนติกสามารถยืนยงคงกระพัน รายงานของฟิชเชอร์ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบว่า เหตุใดคนเราจึงเลือกคู่ครองที่มีภูมิหลังทางสังคมคล้ายกัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มกราคม 2552 17:42 น.

...

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

ปาร์ตี้ ป้องกัน สมองเสื่อม

ปาร์ตี้ พิชิต สมองเสื่อมแนะขยันปาร์ตี้สังสรรค์เติมชีวิต พิชิตความเสี่ยงสมองเสื่อม50%
การออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้าง แทนที่จะหมกมุ่นอยู่คนเดียว ช่วยลดความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมได้ถึง 50%
เอเจนซี – นักวิจัยแนะการจัดปฏิทินสังคมให้แน่นเอี๊ยดเข้าไว้ ช่วยปกป้องความเสี่ยงจากภาวะสมองเสื่อมได้ถึงครึ่งหนึ่ง
รายงานในวารสารนิวโรโลจี้ระบุว่า คนที่มีกิจกรรมสังคมชุกและไม่ใช่คนที่เครียดง่าย มีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับชายหญิงที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้างและโน้มเอียงที่จะมีอาการซึมเศร้า
“ในอดีต การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าอาการซึมเศร้าเรื้อรังอาจส่งผลต่อสมองบางส่วน เช่น ฮิปโปแคมปัส และอาจนำไปสู่โรคสมองเสื่อมได้
“แต่การค้นพบของเราบ่งชี้ว่า การมีลักษณะนิสัยที่สุขุม แต่เข้ากับคนอื่นๆ ได้ง่าย บวกกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่มีการพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีคนหมู่มาก อาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้” ฮุยซิงหวัง จากสถาบันแคโรลินสกาในสวีเดน ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัย อธิบาย
ทั้งนี้ คาดว่าทั่วโลกมีคนถึง 24 ล้านคนที่สูญเสียความทรงจำ และอาการอื่นๆ ที่ส่งสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมรูปแบบอื่นๆ
นักวิจัยเชื่อว่า ผู้ที่มีอาการสมองเสื่อมจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกสี่เท่าในปี 2040 ตอกย้ำความสำคัญในการทำความเข้าใจกับโรคนี้
การศึกษาของสวีเดนเกี่ยวข้องกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงวัย 506 คน ที่ไม่ได้มีอาการสมองเสื่อมเมื่อแรกทำการทดลอง โดยอาสาสมัครจะต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะนิสัยและรูปแบบการใช้ชีวิต หลังจากนั้นจึงมีการติดตามผลเป็นเวลาหกปี
ภายในระยะเวลาดังกล่าว ปรากฏว่ามีอาสาสมัคร 144 คนมีอาการสมองเสื่อม ขณะที่กลุ่มที่มีกิจกรรมสังคมมากกว่าและเครียดน้อยกว่ามีแนวโน้มถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคดังกล่าวน้อยลงถึง 50%
“ข่าวดีก็คือ ปัจจัยเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งที่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ ตรงข้ามกับปัจจัยทางพันธุกรรมซึ่งควบคุมไม่ได้ แต่นี่ยังเป็นเพียงผลการศึกษาขั้นต้น จึงยังไม่อาจสรุปชัดเจนว่าทัศนคติทางจิตใจมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมอย่างไร” หวังสรุป

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 25 มกราคม 2552 17:52 น.

ผู้ชายหนีสาวแบบไหน

พฤติกรรมสาวที่หนุ่มไม่ชอบ

วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีพฤติกรรมสาวที่ชอบทำแล้วหนุ่มไม่ชอบมาบอก...

- โทรจิกได้ทุกทีที่ผมอยู่คนเดียว ประมาณว่าถ้าแยกจากกันเมื่อไหร่เป็นต้องโทรมาถามว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร อยู่กับใคร ทำอะไรที่ไหน หนักหน่อยก็อาจจะมีถึงขั้นให้คนรอบข้างมายืนยัน

- เลิกซะทีกับคำตอบ “แล้วแต่ค่ะ” เพราะว่าเป็นกลางเกินไป การที่คุณอยากจะเอาใจเขาด้วยการยอมตามเขาทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะบางครั้งเขาก็ไม่ได้อยากรู้สึกเหมือนคุยกับหุ่นยนต์ ทางที่ดีถามอะไรก็ออกความคิดเห็นบ้างก็ดี

- บ้าช้อปไม่ลืมหูลืมตา ไม่ว่ามีของขายที่ไหนก็ขอให้คุณได้ไปกับเขา แถมยังเป็นพวกความสามารถพิเศษช้อปได้ตั้ง 10 โมงเช้ายัน 3 ทุ่มครึ่งคุณก็ไม่หวั่น อันนี้หนุ่ม ๆ เขารับไม่ค่อยจะได้

- อย่าคาดหวังกับเรื่องโรแมนติกให้มากจนเกินไป จริงอยู่ที่ว่าผู้ชายบางคนก็แสนจะโรแมนติกรู้จักเอาใจผู้หญิงของเขาด้วยวิธีการแสนน่ารักต่าง ๆ นานา แต่ก็แค่บางคนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้ชายจะเป็นเหมือนกันหมดซะเมื่อไหร่ ดังนั้นสาว ๆ อย่าคาดหวังให้เขาโรแมนติกเกินไปนัก เพราะพวกเขาคิดว่าถ้ามาจากใจของเขาจะดีกว่าที่เขาต้องทำเพราะคุณอยากให้เขาทำ

- ขี้บ่นได้ทุกเรื่อง ยิ่งบ่นตอนที่นั่งอยู่บนรถด้วยกันหนุ่ม ๆ ยิ่งเซ็งไปกันใหญ่ เพราะเวลาขับรถเขาเองก็ต้องการสมาธิเหมือนกัน แค่ขับรถอย่างเดียวก็แทบจะไม่ไหวแล้ว ยังจะต้องให้เขามานั่งทนฟังคุณบ่นด้วยหรือ

- คนล้มอย่าข้าม เขาทำผิดก็อย่าซ้ำเติมกันเลย จริงอยู่ที่ว่าผู้ชายเป็นประเภทเชื่อมั่นในความคิดตัวเองสูง บางครั้งการที่เขาจะทำอะไรสักอย่าง เขาจึงเดินหน้าอย่างไม่มีถอยแม้ว่าคุณจะเคยเตือนเขาแล้วก็ตาม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาพลาดแล้วคุณยิ่งไปซ้ำเติมเขาว่า บอกแล้วไม่เชื่อ เป็นไงได้เรื่องเลย หรืออะไรประมาณนี้ แม้ว่าอาจจะดูไม่แรงสำหรับคุณ แต่สำหรับคนในอารมณ์นั้น ก็แรงเอาเรื่องอยู่

สาว ๆ คนไหนอ่านแล้ว ก็พยายามลดพฤติกรรมที่กล่าวมา ก่อนที่หนุ่ม ๆ จะหันหน้าหนีไปซะก่อน

ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2552 เวลา 00:00 น.

อิ่มนะ..แต่ไม่อ้วน

อิ่มไม่อ้วน สวนกระแสเทศกาล

เพิ่งจะเลี้ยงฉลองปีใหม่ ผ่านไป เผลอแป๊บเดียว อ้าว! ตรุษจีนมาเยือนอีกแล้ว ทั้งสองเทศกาลต่างก็นำพาความสุขมาสู่หมู่ชน โดยเฉพาะคนชอบชิม ชอบกินอาหารอร่อยเลิศรสต่างก็อดใจไม่ไหว แม้ในใจอาจจะกังวลอยู่นิดๆ ว่ากินมากไปแล้วจะอ้วนแต่ไม่ต้องห่วง เรามีเคล็ดลับอิ่มไม่อ้วนสวนกระแสเทศกาลงานเลี้ยงต่างๆ มาฝากกัน

ข้อแรก กินโปรตีนเยอะได้ แต่ไขมันต้องน้อย เพราะโปรตีนจะทำให้รู้สึกอิ่มนาน อย่างเนื้อไก่ก็ต้องเอาหนังออก ส่วนอาหารพวกแป้งและไขมันให้กินได้แต่ต้องน้อยถึงน้อยที่สุด

ข้อสอง กินผักผลไม้ให้ หลากหลาย อันนี้ไม่ได้บอกให้กินแต่ผัก แต่มีคำแนะนำว่าให้กินผักและผลไม้หลายชนิดคละกันไปพร้อมอาหาร

เคล็ดลับข้อถัดมา ตักอาหารทีละน้อย อย่าตักจนล้นจานแล้วเสียดายทีหลัง

ข้อสี่ เริ่มต้นกินอาหารน้ำๆ ก่อน เพื่อให้กระเพาะรับอาหารหนักๆ ได้น้อยลง จะทำให้รู้สึกอิ่มและได้อรรถรสในการกินไปพร้อมกันโดยไม่ต้องกินมาก

ข้อห้า ควรพักยกระหว่างรับประทาน อย่าได้ใช้เวลากินติดกันนานรวดเดียว แต่เมื่อรู้สึกอิ่มแล้วให้รีบลุกจากโต๊ะแล้วชวนกันไปคุยที่อื่น ถ้าหิวแล้วค่อยกลับมาเริ่มใหม่ได้อีก

ข้อหก ถ้าเป็นงานเลี้ยงแบบที่เอาอาหารไปด้วย ควรนำอาหารไขมันต่ำติดตัวไป

ข้อเจ็ด ให้เพลาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง แม้การเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานเลี้ยงจะเป็นเรื่องยาก แต่ให้ท่องไว้ว่าไวน์หรือเบียร์หนึ่งแก้วใหญ่ ให้พลังงาน 200 แคลอรี ดังนั้นยิ่งดื่มมากยิ่งเพิ่มแคลอรีใส่ตัวมากขึ้น

ข้อแปด กินแล้วต้องออกกำลังกาย เรื่องนี้สำคัญมากขาดไม่ได้ โดยอาจหารูปแบบการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ในบ้าน เช่น หยอกล้อเล่นกับเด็ก หรือวิ่งไล่จับกันในบ้านก็เป็นการออกกำลังกายที่มีงานวิจัยรับรองว่าได้ผลดีเช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นเคล็ดลับที่นำมาจากจดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข เดือนมกราคม 2552 ของ

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ด้วยหวังว่าจะทำให้อิ่มและไม่อ้วนสวนกระแสเทศกาลกันได้อย่างสบายใจ

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ [24 ม.ค. 52 - 00:52]

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

น้ำแอปเปิ้ล กันสมองเสื่อม

น้ำแอปเปิ้ลคั้นช่วยพิทักษ์รักษา ป้องกันสมองเสื่อม

นักวิจัยมหาวิทยาลัยแมสซาชูเสตต์แห่งสหรัฐฯ พบในการศึกษาว่า หนูที่เลี้ยงด้วยน้ำแอปเปิ้ลคั้น จะเดินในทางเดินวกวนเป็นเขาวงกตได้คล่องขึ้น และสมรรถภาพร่างกายก็ไม่ค่อยเสื่อมถอยเหมือนอย่างหนูชราตัวอื่นด้วย

วารสารทางวิชาการ “โรคสมองเสื่อม” รายงานผลการศึกษาว่า นักวิจัยได้เลี้ยงหนูด้วยน้ำแอปเปิ้ลคั้น ลองให้กินวันละ 2 แก้ว เป็นเวลา 1 เดือน และเมื่อได้ผ่าตรวจสมองหนูออกดู พบว่ามีเศษโปรตีน ที่เรียกว่า “เบตา อไมลอยด์” ซึ่งจับสมองเป็นคราบ แบบเดียวกับที่พบตามสมองของคนที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม เกาะจับอยู่เพียงเล็กน้อย

ที่มาไทยรัฐออนไลน์ [27 ม.ค. 52 - 00:26]

โกหกยากกว่าพูดจริง..รู้มั้ย

รู้มั้ย โกหกยากกว่าพูดจริง

พูดโกหกยากกว่าพูดจริง เครื่องจับเท็จใหม่เผยพูดปดต้องใช้เวลาคิด

เครื่องจับเท็จแบบใหม่ พัฒนาโดยนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ของอังกฤษ ทำให้ ทราบว่า การพูดปดนั้นยากกว่าการพูดจริง ต้องใช้เวลานานกว่ากันเฉลี่ยแล้วร้อยละ 30

เครื่องจับเท็จพัฒนาขึ้นโดยอาจารย์ไอเดน เกรกก์ นักจิตวิทยา ช่วยทำให้เกิดความหวังว่า มันคงจะใช้ได้ผลดีกว่ารุ่นที่ใช้กันอยู่ ซึ่งปรากฏว่าเคยหลงเอาคนบริสุทธิ์เข้าปิ้งไปด้วย หลายรายแล้ว “ผมพัฒนาเครื่องนี้ขึ้น เพราะเชื่อว่าอาชญากร เดี๋ยวนี้ ต่างมีหนทางที่จะปิดซ่อนความคิดของตนไว้มากขึ้น”

อาจารย์ไอเดนเปิดเผยว่า ได้เรียนรู้จากการ ทดลองเครื่องใหม่ว่า การพูดโกหกยากกว่าพูดจริง ผู้ที่เข้าทดสอบที่พูดไม่จริง ถึงร้อยละ 85 ต่างต้องใช้เวลาคิดนานกว่าการพูดความจริง

เครื่องจับเท็จแบบใหม่ จะให้ผู้เข้าทดสอบ ตอบคำถาม ซึ่งจะปรากฏขึ้นที่หน้าจอจำนวนหลาย ชุด โดยเร็วที่สุด ด้วยการกดแป้นพิมพ์ เครื่องจะบันทึกเวลาที่ใช้ในการตอบ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์คำตอบอีกทีหนึ่ง

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ [28 ม.ค. 52 - 00:33]

สูตรเพิ่มอายุยืน

ชีวิตเราใช่ของใคร ใช้ให้เป็นอายุยืนนาน

เดลิเมล์ – เราต่างรู้แก่ใจว่าการสูบบุหรี่ทำให้ชีวิตสั้นลง ขณะที่การออกกำลังกายให้ผลตรงกันข้าม แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่มีอิทธิพลต่ออายุขัยของคนเรา ดังต่อไปนี้

ห้องวิวสวย
+ 2 ปี

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ได้พักฟื้นในห้องที่มองเห็นวิวสวยงามภายนอกหายเร็วและได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วกว่าผู้ป่วยที่นอนมองกำแพงสี่ด้าน ทฤษฎีนี้คือ ทัศนียภาพที่งดงามทำให้อารมณ์ดี ผ่อนคลายความเครียด และกระตุ้นการมองโลกแง่ดี

เพราะฉะนั้น หากไม่ชอบวิวที่มองเห็นจากหน้าต่าง ควรติดภาพสถานที่ที่คุณโปรดปรานไว้รอบๆ ห้อง

จมจ่อมกับปัญหา
- 1 ปี

คนส่วนใหญ่จะเครียดและซึมเศร้าเมื่อถูกล้อมกรอบด้วยเรื่องวุ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากรวยเกินไปหรือจากหนี้ที่ไม่มีปัญญาจ่าย

ความเครียดที่เกิดขึ้นจะทำให้ชีพจรเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูง นำไปสู่โรคอันตรายหลายโรค

การดูแลสัตว์เลี้ยง
+ 2 ปี

เจ้าของสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มต้องไปหาหมอและทุกข์ทรมานจากอาการซึมเศร้าน้อยลง การลูบหัวลูบหางหรืออยู่ใกล้ๆ สัตว์เลี้ยงทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเจ้าของสงบลง ความดันโลหิตลดลง

การศึกษาชิ้นหนึ่งในสหรัฐฯ ที่มีการวัดความดันโลหิตของโบรกเกอร์ชายหญิงในตลาดหุ้น พบว่าโบรกเกอร์ที่มีสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตต่ำกว่า

ความสุขบนเตียง
+ 4 ปี

ผู้ชายที่ถึงจุดสุดยอดอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งมีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยจากทุกโรคลดลงครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ทั้งยังมีความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมอัณฑะน้อยลง

ผลศึกษาอีกฉบับระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่มีความสุขในเรื่องเซ็กซ์ เนื่องจากสามีมีปัญหาสมรรถภาพหย่อนยาน มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะหัวใจวาย

มลพิษทางเสียง
- 1 ปี

การได้ยินเสียงอึกทึกบนท้องถนนเป็นระยะเวลานาน มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 3%

เสียงทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ทำให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่สภาพของการระวังภัย แม้แต่ขณะหลับ ร่างกายยังมีปฏิกิริยาต่อเสียง ทำให้ผลิตฮอร์โมนความเครียดออกมาต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับหลอดเลือดและหลอดเลือดหัวใจที่อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูง หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง

เกิดเป็นหญิง
+ 10 ปี

ผู้หญิงในเกือบทุกประเทศมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวกว่าผู้ชายราว 10% เพราะนอกจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและพันธุกรรมแล้ว ยังเป็นผลจากฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับพฤติกรรมก้าวร้าวและการแข่งขัน ซึ่งนำไปสู่โอกาสที่เพิ่มขึ้นในการเสียชีวิตก่อนวัยจากความรุนแรง อุบัติเหตุ และการเสี่ยง

หากเทสโทสเตอโรนมีระดับสูงยังทำให้คลอเรสเตอรอล ‘ดี’ ที่ช่วยปกป้องโรคหัวใจลดต่ำลง ในทางกลับกัน ฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิงเพิ่มระดับคลอเรสเตอรอล ‘ดี’

 

การแต่งงาน
+ 7 ปี

คู่สมรสมักมีอายุยืนยาวกว่าคนที่หย่าร้าง เป็นม่าย หรือไม่แต่งงาน
นักวิจัยแคลิฟอร์เนียพบว่า คนที่ไม่เคยแต่งงานมีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยเพิ่มขึ้น 2 ใน 3 ขณะที่คนที่มีความสุขในชีวิตคู่มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาการเงิน สุขภาพร่างกายหรือจิตใจน้อยกว่าคนโสด แถมเมื่อป่วยไข้ คนมีคู่ยังหายเร็วกว่า

คนแต่งงานแล้วยังมีอัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งสูงกว่า

การหย่าร้าง
- 3 ปี

ผู้ใหญ่ที่หย่าร้างมีภาวะคับข้องทางอารมณ์ การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและโรคหัวใจสูงกว่า ทั้งยังเสี่ยงมากกว่าที่จะเป็นมะเร็ง ปอดบวม ความดันโลหิตสูง และตับแข็ง

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ชีวิตแต่งงานไม่มีความสุข การหย่าร้างช่วยให้ความเครียดลดลง และสุขภาพดีขึ้น

ท่าทางไม่ถูกต้อง
- 2 ปี

ท่าทางที่ไม่ถูกลักษณะทำให้เกิดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อและเอ็น ข้อต่อฉีกขาด และกระทั่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะภายใน

ท่าทางที่ไม่ถูกต้องยังนำไปสู่อาการปวดหลังและข้อต่ออักเสบ และการปวดหลังช่วงล่างบ่อยๆ กลายเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน และทำให้สุขภาพโดยรวมแย่ลง

คนแก่หลังโกงมีแนวโน้มเสียชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

มีความสุข
+ 9 ปี

นักวิจัยพบว่าคนที่มองโลกแง่ดีมีแนวโน้มใช้ชีวิตอย่างถูกสุขอนามัยมากกว่าคนที่มองโลกแง่ลบ ออกกำลังกายและเข้าร่วมกิจกรรมสังคมที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่า

จากผลศึกษาหลายฉบับ การมองโลกแง่ดียังช่วยให้หายจากการเจ็บไข้หรือบาดเจ็บเร็วขึ้น อายุยืนขึ้น และมีโอกาสพิการน้อยลง

นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าความสุขช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่มจำนวนเซลล์ที่ต่อสู้กับเชื้อโรคและแบคทีเรีย

พักผ่อนไม่เพียงพอ
- 5 ปี

การนอนหลับๆ ตื่นๆ ทำให้ระดับไขมันในเส้นเลือดเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับคลอเรสเตอรอล คอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และความดันโลหิต ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

การนอนไม่พอยังทำให้พลังสมองและสติสัมปชัญญะลดลง ทางที่ดีที่สุดคือควรนอนหลับคืนละ 6-7 ชั่วโมง

การยึดมั่นศรัทธา
+ 7 ปี

การศึกษากว่า 1,000 ฉบับพิสูจน์ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างศรัทธากับอายุที่ยืนยาว

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไอโอวาพบว่า คนที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง มีแนวโน้มอายุยืนกว่าคนที่ไม่เคยเข้าโบสถ์เลยถึง 35%

การมีศรัทธายังช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันปัญหาหลอดเลือดอุดตัน

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2552 16:54 น.

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

สีอะไร ช่วยความจำ สีอะไร กระตุ้นต่อมสร้างสรรค์??

ทายซิว่า

สีอะไรช่วยความจำ

สีอะไรช่วยกระตุ้นต่อมจินตนาการ

สีขาว? สีม่วง? สีฟ้า? สีเขียว? สีเหลือง? สีส้ม? สีแดง? สีเทา? สีดำ? สีชมพู? สีน้ำตาล? สีน้ำเงิน? ???

ลองนึกๆดูว่าเวลาเราอยู่ในสภาพแวดล้อมสีไหนแล้วเราจะรู้สึกแบบไหน

ลองใช้ความคิดทายกันก่อนนะคะ แล้วค่อยเลื่อนไปอ่าน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สีฟ้ากระตุ้นจินตนาการ-กล้าเสี่ยง สีแดงดึงดูดสนใจทุกรายละเอียด

การใช้เฟอร์นิเจอร์สีฟ้าช่วยโน้มนำความคิดสร้างสรรค์และความกล้าเสี่ยง

เอเจนซีส์ – การได้อยู่ท่ามกลางสีฟ้าช่วยกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนเรากล้าเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่สีแดงดึงดูดความสนใจให้มุ่งมั่นในรายละเอียด
นานมาแล้วที่สีฟ้าถูกนำไปเชื่อมโยงกับความรู้สึกสงบเยือกเย็น แต่งานวิจัยล่าสุดจากแคนาดาระบุถึงคุณประโยชน์ใหม่ที่เฟอร์นิเจอร์หรือผนังสีนี้นำมาให้ หลังพบว่าอาสาสมัครที่ทำการทดสอบหลายอย่างมีความคิดสร้างสรรค์และกล้าเสี่ยงมากขึ้น

ในทางกลับกัน สีแดงทำให้อาสาสมัครมีสมาธิและสนใจในรายละเอียดมากขึ้น บ่งชี้ว่าสีนี้อาจช่วยในการซึมซับข้อมูลที่ซับซ้อนหรือการอ่านหนังสือเตรียมสอบ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย แคนาดากล่าวว่าการค้นพบนี้อาจมีนัยต่อทุกอย่างตั้งแต่สีของคำเตือนบนฉลากยา การออกแบบสำนักงาน ห้องเรียนและป้ายจราจร
ผลศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารไซนส์ พิจารณาจากผลลัพธ์จากสีแดงและสีฟ้าที่มีต่ออาสาสมัครที่ทำแบบทดสอบที่ต้องใช้ความคิด 6 ชุด เช่น การสร้างวลีใหม่จากพยัญชนะที่จัดให้ การจดจำคำต่างๆ และการออกแบบของเล่นสำหรับเด็ก
หลังการทดสอบ นักวิจัยพบว่าสีแดงที่มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับอันตราย คำเตือนและข้อผิดพลาด ทำให้อาสาสมัครตื่นตัวและระวังความเสี่ยงมากขึ้น
ในทางตรงข้าม สีฟ้าที่เชื่อมโยงกับความกว้างไกลและความรู้สึกสงบสุข ทำให้อาสาสมัครกล้าเสี่ยงมากขึ้น
การทดสอบหลายชุดทำในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยที่อาสาสมัคร 161 คนแก้โจทย์ต่างๆ บนแบ็คกราวด์หน้าจอสีฟ้า แดง และสีขาวสำหรับกลุ่มควบคุม

ในการทดสอบหนึ่ง อาสาสมัคร 42 คนได้รับกระดาษที่มีภาพวาดชิ้นส่วนต่างๆ 20 ชิ้น และได้รับโจทย์ให้เลือกชิ้นส่วน 5 ชิ้นมาออกแบบของเล่นเด็ก

“การออกแบบของเล่นในสภาพแวดล้อมสีแดง ได้ของเล่นที่สามารถนำไปเล่นได้จริงและมีความเหมาะสมมากกว่าของเล่นที่ออกแบบในสภาพแวดล้อมสีฟ้า แต่มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และแปลกใหม่น้อยกว่าของเล่นที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมสีฟ้า” ดร.จูเลียต จู ผู้สอนวิชาการตลาดของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย และผู้นำการวิจัยอธิบาย
นักวิจัยเชื่อว่า ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสีไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เป็นเพราะคนเราเรียนรู้จากชีวิตประจำวันในการเชื่อมโยงสีบางสีกับสถานะอารมณ์ต่างๆ และผลลัพธ์นี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม

“ผลวิจัยบ่งชี้ว่า สีต่างๆ อาจมีประโยชน์ต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน หากเป็นงานที่ต้องการความสนใจและสมาธิ ตัวอย่างเช่นการจดจำข้อมูลสำคัญหรือการทำความเข้าใจผลข้างเคียงของยาใหม่ สีแดงอาจเหมาะสมที่สุด เนื่องจากเรามักเชื่อมโยงสีแดงกับป้ายจราจร รถพยาบาล และอันตราย จึงมีปฏิกิริยาต่อสีแดงในรูปของกลไกการหลีกเลี่ยงและระมัดระวัง

“อย่างไรก็ตาม หากงานต้องการความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เช่น การออกแบบร้านขายงานศิลป์ หรือการประชุมระดมสมองสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ สีฟ้าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะสีนี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับทะเล ท้องฟ้า อิสระเสรี ความสงบสุข ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ชักชวนการสำรวจพฤติกรรมและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์” รายงานการวิจัยระบุ
ผู้ออกแบบตกแต่งภายในมักใช้สีกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลมักทาสีที่ให้ความรู้สึกเยือกเย็นสงบ เช่น สีฟ้าและสีเขียว ขณะที่ร้านฟาสต์ฟูดใช้สีแดงเพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2552 18:09 น.

เลือกหมอน ให้นอนหลับฝันดี

เลือกหมอนให้ นอนหลับฝันดีแต่เรื่องที่จะนอนให้หลับฝันดีได้ มันก็ต้องมีองค์ประกอบหลายส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกัน หนึ่งในนั้นก็คือต้องรู้จักเลือกหมอนดีๆ มาหนุนศีรษะด้วยเรื่องของหมอนหนุนนอนนั้นต้องถือได้ว่าเป็นของส่วนตัวอีกชิ้นหนึ่ง ที่เรามักจะพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันน้อยมาก บ้างก็มองข้ามความสำคัญไปซะงั้น แต่ความจริงแล้วก่อนจะเลือกซื้อหมอนก็มีเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญนำมาพิจารณาอยู่สัก 4 หัวข้อด้วยกันคือ

ข้อแรกต้องรู้กันก่อนว่าตัวเรา เป็นโรคภูมิแพ้อะไรบ้างหรือเปล่า อย่างบางคนแพ้ปุยนุ่น หรือละอองขนเป็ดขนไก่ที่ใช้เป็นวัสดุไส้ในของหมอน ก็ต้องหลีกเลี่ยงวัสดุที่เราแพ้เหล่านั้น ไปใช้อย่างอื่นแทน อาจจะเป็นโฟม โพลีเอสเตอร์ หรือวัสดุธรรมชาติอย่างอื่น เป็นต้น

ข้อสองเป็น เรื่องของขนาด แต่ละคนก็ชอบขนาดหมอนที่เล็กใหญ่แตกต่างกันไป บางคนก็ชอบมีหมอนกองเต็มเตียง แต่พอเอาเข้าจริงตอนนอนก็ใช้หมอนแค่หนึ่งหรือสองใบแค่นั้นเอง

ถัดมาต้องดูว่าหมอนมี ความสามารถ ในการรองรับ ดีพอหรือไม่ ควรจะทดสอบความแน่นของหมอน โดยที่ถ้ามันมีแรงดัน นิดหน่อยก็แสดงว่าจะรองรับศีรษะได้มากกว่า สำหรับคนที่มักจะนอนหงายควรเลือกหมอนที่ต่ำและนิ่มกว่าเพื่อให้คออยู่ในตำแหน่งที่สบาย แต่ถ้าเป็นคนชอบนอนตะแคง ควรจะเลือกหมอนสูงกว่าสักหน่อย เพื่อจัดแนวสันหลังให้อยู่ในแนวตรงที่พอเหมาะพอดี

สุดท้ายเป็นเรื่องของ การดูแลรักษา ควรใช้ปลอกหมอนกันเปื้อนเพื่อยืดอายุการใช้งานไปได้นาน ๆ เพียงแค่นี้ก็คงจะพอช่วยให้นอนหลับฝันดี มีภูมิคุ้มกันโรคหวัดกันได้อย่างง่ายๆ ต่อไปตราบนาน

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ [17 ม.ค. 52 - 00:29]

บาดลึก...ในความเหงา

ความเหงาบาดลึกไม่เพียงต่อจิตใจแต่ยังรวมถึงสุขภาพด้วย ชี้ความเหงาทำร้ายคนได้เท่าบุหรี่ เสี่ยงโรคหัวใจ-ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
เดลิเมล์ – ผู้เชี่ยวชาญเตือนความเหงาทำร้ายคนเราได้พอๆ กับการสูบบุหรี่หรือโรคอ้วน ทำให้ความดันโลหิตพุ่ง ระบบภูมิคุ้มกันโรคอ่อนแอลง นอนหลับยาก และอาจเป็นโรคจิตเสื่อมเร็วขึ้น
คำเตือนเหล่านี้นำเสนออยู่ในที่ประชุมอเมริกัน แอสโซซิเอชัน ฟอร์ ดิ แอดวานซ์เมนท์ ออฟ ไซนส์เมื่อวันจันทร์ (16) โดยจอห์น คาซิออปโป ซึ่งค้นพบว่าความเปล่าเปลี่ยวทำให้สมองผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากขึ้น และทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นถึงระดับที่อาจทำให้เกิดหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง
เมื่อเปรียบเทียบสุขภาพของคนที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกกับคนที่ชอบสังสรรค์ นักวิจัยพบความแตกต่างมากพอๆ กับความแตกต่างระหว่างคนสูบบุหรี่กับไม่สูบ คนที่เป็นโรคอ้วนกับคนที่น้ำหนักปกติ และคนที่ออกกำลังกายกับคนที่ไม่ออกกำลังกาย

ในการศึกษาพบว่า คนที่เหงาที่สุดมีระดับความดันโลหิตสูงกว่าคนที่มีกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นมากที่สุดถึง 30 จุด หรือเท่ากับมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้มากกว่าคนที่มีระดับความดันโลหิตปกติถึงสามเท่า
ฮอร์โมนคอร์ติซอลในระดับสูงยังไปกดทับระบบภูมิคุ้มกันโรค ทำให้คนๆ นั้นอ่อนแอต่อโรคต่างๆ
คนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวยังนอนหลับไม่สนิท ทำให้ระหว่างวันรู้สึกเฉื่อยชา และมีแนวโน้มต้องพึ่งยานอนหลับ

ความเหงายังมีผลต่อสุขภาพอีกมากมาย รวมถึงการเร่งกระบวนการของโรคจิตเสื่อม ซึ่งแม้ยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัด แต่เป็นไปได้ว่าสมองอาจไม่มีการผ่อนคลายแบบที่คนที่เข้าสังคมเป็นประจำเป็น

ศาสตราจารย์คาซิออปโปจากมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐฯ กล่าวว่าปรากฏการณ์นี้พบได้อย่างกว้างขวางในสังคมปัจจุบันที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ผู้คนสื่อสารกันทางอินเทอร์เน็ตแทนการพบหน้าค่าตากัน
“เราต่างอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะเราอายุมากขึ้น แต่งงานช้าลง มีลูกและเพื่อนสนิทน้อยลง”
คาซิออปโปแนะนำให้คนที่อยู่ตามลำพังหาเพื่อนจากการทำงานการกุศล และว่าการมีเพื่อนสนิทไม่กี่คนดีกว่าการมีคนรู้จักก๊วนใหญ่
“คนเหงาอาจรู้สึกหิวโหย สิ่งสำคัญก็คือ ต้องตระหนักว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่เพียงการหาอะไรใส่ท้อง แต่เป็นการทำอาหารและร่วมดื่มกินกับคนอื่น”
คาซิออปโปยังเชื่อว่า พฤติกรรมนี้ฝังรากอยู่ในกระบวนการวิวัฒนาการ กล่าวคือความเจ็บปวดจากความเปลี่ยวเหงาเตือนให้คนที่อยู่โดดเดี่ยวนึกถึงการเข้าร่วมสังคมเพื่อได้รับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กุมภาพันธ์ 2552 16:25 น.

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีเรียนภาษา ที่ดีที่สุด

วิธีเรียนรู้ภาษาต่างประเทศแบบเป็นเอง ให้เข้าหูเข้าตาตลอดเวลา

วิธีการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศที่ดีที่สุด ก็คือ ให้ได้ยินได้ฟังมันอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่รู้ความหมายของมันก็ตาม

ดร.ปอล ซุลเบอเกร์ นักปราชญ์ทางด้านภาษา มหาวิทยาลัยวิกตอเรีย ให้เหตุผลว่า แม้จะฟังดูประหลาด เพราะเราไม่รู้เรื่องเลย พวกครูสอนภาษาหลายคนอาจยังฟังไม่ได้ เขาอธิบายเหตุผลว่า “ถ้าหากเราต้องการรู้ภาษาสเปน ก็ต้องหมั่นฟังสถานีวิทยุภาษาสเปนทางอินเตอร์เน็ตบ่อยๆ มันจะช่วยให้เราพอจับได้และรู้ศัพท์ใหม่มากขึ้น

ผลการวิจัยของเขาได้ท้าทายทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่ใช้กันอยู่ เขามีข้อสมมติฐานใหญ่ว่า “ปล่อยให้ฟังภาษาใหม่ให้เข้าหูไปเถอะ มันจะไปสร้างโครงสร้างในสมอง ที่สำหรับจะเรียนภาษาใหม่ขึ้นเอง” และเสริมว่า

“เนื้อเยื่อประสาทที่จำเป็นกับการเรียนและเข้าใจภาษาใหม่ จะพัฒนาตัวเองให้เปิดรับภาษา มันเป็นวิธีเดียวกับที่เด็กทารกเรียนรู้ ภาษาแรกของตน”

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ [2 ก.พ. 52 - 00:38]

มุมมองความรัก ของหนุ่มมหา'ลัย แต่ละคณะ

เภสัช

แค่ก . . . แค้ก . . . ขอยาให้ผมหน่อย ผมมีอาการ ไอ . . . เลิฟยู

พยาบาล

หน้าที่ของผม คือ เยียวยา พอรักษาหายเธอก็จากไป

สัตวแพทย์

Love me, Love my dog.

นิเทศศาสตร์

อกหักไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังเล่นใหม่ได้อีกหลายเทค

จิตวิทยา

สะกดจิตเป็นเรื่องง่าย สะกดใจเป็นเรื่องยาก

นิติศาสตร์

โธ่เอ๊ย . . . ความรักนี่ช่างไม่ยุติธรรมเลย

บัญชี
คำนวณตัวเลขอาจใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาที แต่คำนวณใจเธอนั้นต้องใช้เวลาเป็นปี

รัฐศาสตร์
หนุ่มรัฐศาสตร์ขอบอกเธอว่า รัก . . . สาด . . . สาด

ครุศาสตร์
ผมสามารถสอนคุณได้ทุกอย่าง แต่มีเรื่องเดียวที่อยากให้คุณสอนผม . . .

อักษรศาสตร์
หว่ออ้ายหนี่ ติอาโม เฌอแตม ไอเลิฟยู รักหลายเด้อ

เศรษฐศาสตร์
ได้ใจเธอคือกำไร เธอไม่สนใจคือเท่าทุน

โครงการพัฒนา software
Hard disk ของเธอมีกี่ "กิ๊ก" ส่งใจไปเท่าไหร่ก็ไม่เต็มซะที

แพทย์
บุหรี่ผมก็ไม่สูบ สุขภาพก็ดูแลดี แต่พอเจอเธอทุกที . . . มีอาการโรคปอดขึ้นทันใด

วิทยาศาสตร์
ความรักไม่มีสูตรตายตัว

ศิลปกรรม
ปั้นเท่าไหร่ก็ไม่เหมือน เพราะเธอน่ารักขึ้นทุกวัน

วิทย์กีฬา
ร่างกายแข็งแรง แต่หัวใจอ่อนแอ
สหเวชศาสตร์
ไม่รู้เครื่องเอ็กซเรย์ เสียหรือเปล่า เพราะเอ็กซเรย์ลงไปก็เจอแต่หน้าเธอ

สถาปัตย์
รักออกแบบไม่ได้

ทันตแพทย์
ถ้าตรวจฟันผมคงเจอแมงกินฟัน ถ้าตรวจหัวใจผมคงเจอเธอกินใจ

วิศวะ
คณะเราผู้ชายมันเยอะนี่หว่า . . . ดูไปดูมานายก็น่ารักดีนะ ..จึ๋ย

 

Desenvolvido por EMPORIUM DIGITAL