วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

ลูกหมาขี่เรือบิน

ระนอง พังงา หัวเมืองปักษ์ใต้ที่ฝนตกชุกจนได้ชื่อดินแดนฝนแปดแดดสี่ หน้าฝนฝนตกพรำทั้งวันทั้งคืนจนเดือดร้อนเทวดา อยู่ไม่เป็นสุข เพราะพวกที่ไม่เอาฝนพากันแช่งชักหักกระดูก  ส่วนพวกที่อยากได้ก็ไชโยโห่ร้องจุดประทัดกันสนั่น  บอกว่าเทวดารับบน โดยเฉพาะพวกทำเหมืองแร่บนภูเขาที่ขาดน้ำไม่ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถูกใจก็สรรเสริญเยินยอ ไม่ถูกใจก็ค่อนขอดด่าว่า  ถือเป็นคติเตือนใจท ี่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

   บ้านฉันอยู่อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา  ซึ่งมีเขตแดนทางด้านทิศเหนือติดกับจังหวัดระนอง   สมัยเด็ก ๆ วงจรชีวิตของพวกฉันบางครั้งก็ตกอยู่ในวงล้อมของสภาพดินฟ้าอากาศ ที่ย่ำแย่อยู่บ้างเหมือนกัน ตอนที่ถูกจับให้เลี้ยงควายอยู่ในทุ่งนาแทนพวกพี่ ๆ ที่ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานอย่างอื่นนั่นล่ะ-ที่เรารู้สึกว่ามันช่า งแย่เสียจริง  ๆ

จะแดดหรือฝน เปียกหรือแห้ง ร้อนหรือหนาว สำหรับเด็กเลี้ยงควายอย่างพวกเราถ้าวันไหนนึกขี้เกียจหรือไม่ค่ อยพอใจ  มันก็เป็นเรื่องที่แสนจะย่ำแย่และหน้าเบื่อหน่ายไปเสียทั้งนั้น โดยเฉพาะสภาพอากาศช่วงปลายเดือนสี่เดือนห้าที่ท้องทุ่งนาร้อนระ อุราวกับจะแผดเผาใครให้ตายลงไปในชั่วพริบตาได้สักคน เราก็ยิ่งไม่อยากจะให้มันโคจรมาถึงเลย

ท้องนาหลังเก็บเกี่ยวเดือนสี่เดือนห้า ในบิ้งนาเหลือแต่ตอซัง  พวกเราโรงเรียนปิดภาคเรียนเทอมปลาย  ก็สวมเครื่องทรงเลี้ยงควายแทนชุดนักเรียน... เปลือยกายท่อนบน  เหลือท่อนล่างนุ่งกางเกงขาด ๆ รัดสะเอวด้วยสายเชือกพอกระชับ  แค่วิ่งไล่ควายไม่หลุดลุ่ยก็พอ

ตอนนั้นฉันเป็นเด็กหัวโล้น เพราะติดเหามาจากโรงเรียน...  เกาเสียจนหนังหัวเปื่อยเป็นแผลน้ำเหลืองเยิ้ม เรียกกันว่า"ชันตุ"จนย่ารำคาญเลยจับฉันกล้อนผมเสียเตียนโล่ง

“ไอ้ไข่นุ้ยมานี่...” ย่าพลิกครกตำข้าวให้คว่ำลงแล้วชี้ให้ฉันขึ้นไปนั่งบนก้นครกทรงก ลม ลื่นเป็นมันเหมือนเก้าอี้ที่โรงเรียน ใบมีดโกนหนวดของปู่ที่อยู่ในมือย่าคมวับ น่าหวาดเสียว

หากแต่สายตาของย่านั่นซิ-คมวาว ! น่ากลัวกว่าใบมีดโกนเป็นไหน ๆ

เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกจับกล้อนผมด้วยใบมีดโกน รู้สึกเสียววูบวาบ  กลัวว่ามันจะไพล่มาบาดเอา แต่ไม่กล้าขัดขืน เพราะเห็นย่าเหลือบแลไม้เรียวซึ่งเหน็บไว้ที่ชายฝาหน้าบ้านอยู่ ู่ไปมา

“ไม่ตายหรอก” ปู่ว่า ขณะนั่งฝนขมิ้นกับปูนแดงรอไว้ชโลมหัวรักษาแผลเน่าเปื่อยให้ฉันอ ยู่ใกล้ ๆ

ตอนที่ย่าถากใบมีดโกนลงบนหนังหัวเปื่อยเน่าของฉันเสียงดังแกรก ๆ มันทั้งเสียวทั้งเจ็บ ตอนที่คมมีดตัดสะเก็ดชันตุปนเลือดปนหนองหล่นใส่แผ่นหลังและหน้า อกซึ่งปล่อยล่อนจ้อนไม่มีอะไรปกปิดสักนิดเดียวนั้น มันทำให้คันยึบยับอย่างทรมาน ยิ่งตอนที่คว้าสบู่ซันไลน์ไปกระโดน้ำคลองตามคำสั่งของย่าด้วยแล ้ว ฉันจำได้ว่ามันเจ็บแสบอย่างมหาวายร้ายเลยทีเดียว

“ฟอกสบู่ล้างหัวให้ทั่ว... กลับมาไม่เรียบร้อย เอ็งโดนไม้เรียว “

ว้า--เอะอะก็ไม่เรียว ๆ ฉันนึกน้อยใจจนน้ำตาไหล

เวลาฉันขี่หลังควายลงทุ่ง อ้ายพวกเด็กเลี้ยงควายที่ไปถึงก่อนมันเห็นฉันถูกจับกล้อนผมชโลม ขมิ้นซะเหลืองอ๋อย มันก็ล้อกันว่า “เฮ้ย อีแร้งแก่เกาะหลังควายมาแล้วโว้ย” ลางคนก็แสร้งทำเป็นเถียง  “พ่อมึงนะซี! อ้ายนั่นเขาเรียกหมาหัวโล้นโว้ย มึงแหกตาดูให้ดีซิ หัวมันเหลืองหม่นเหมือนหัวหมา ฮา ฮา ”

ถ้อยคำที่พวกมันชวนกันสรรเสริญเยินยอ   ล้วนแต่น่าจะเอาหมัดทิ่มปากให้เลือดสาดไปเสียทั้งนั้น ผิดแต่ว่าฉันตัวเท่าลูกหมาจึงไม่ใคร่กล้าที่จะต่อกรกับใคร... แต่ก็โชคดี ตรงที่มีญาติลูกพี่ลูกน้องหน้าตาขึงขังเหมือนยักย์ทศกัณฐ์คนหนึ ่งคอยเป็นเงาคุ้มครอง หากแต่ในสมัยนั้นฉันก็ช่างร้ายกับแกเหลือเกิน

แกชื่อจิต เป็นเด็กผู้ชายตัวดำล่ำสัน อายุมากกว่าฉัน 3 ปี แต่สอบตกซ้ำชั้นจนได้มาอยู่ชั้นเดียวกันตอนฉันสอบ  ป.3 ขึ้น ป. 4  ซึ่งเป็นปีแรกที่ถูกเขาเกณฑ์ให้เลี้ยงควาย

และเป็นเพราะฉันมีพี่จิตคอยโอบอุ้มนี่เองที่ทำให้มักได้เปรียบผู้อื่นแทบทุกอย่าง  ทั้งของกินและของเล่นไม่มีใครกล้าแย่งฉันหรอก

             “เฮ้ย ! ให้ไอ้ไข่นุ้ยมันก่อน” นั่นคือประกาศิตจากลูกพี่เบิ้มของฉัน   จะร้องตวาดขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าฉันกำลังเสียเปรียบ 

“ได้ ๆ ให้ไอ้หมานุ้ยมันก่อน-ก็ได้" พวกมันจะหันมามองฉันด้วยสายตาที่ฝากรอยแค้นพยาบาท  หากแต่ทำอะไรฉันไม่ได้ อย่างหมากก็แค่ประชดฉันว่าหมา จากไอ้ไข่นุ้ยก็กลายเป็นไอ้หมานุ้ยไปเสียฉิบ

หากแต่เมื่อถึงคราวที่ฉันจะได้ยิบยื่นความกตัญญูรู้คุณทดแทนพี่ จิตกลับไปบ้าง ฉันกลับไพล่ไปในทางเลวอย่างไม่อาจให้อภัยแก่ตัวเองเลย

ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเรายกโขยงลงทุ่งพร้อมกันแล้ว  และฝูงควายก็ถูกต้อนรวมกันเป็นฝูงเดียวเสร็จแล้ว ฉัน-ซึ่งเป็นเด็กเจ้าความคิดก็เสนอว่าแดดร้อนอย่างนี้เราไปเล่น น้ำคลองกันดีกว่า

“แล้วใครจะแลควาย!?” มีคนสงสัย.... “ควายแหกฝูงไปเข้าสวนของตาผู้ใหญ่ละก้อ - -มึงเอ๋ย น่องลายเชียว”

จริงว่ะ---ตาผู้ใหญ่..!

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงตาผู้ใหญ่ฉันก็จะนึกขยาดขึ้นมาทันที เพราะขึ้นชื่อว่าไม้เรียวของตาผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใครออกใครอย ู่เหมือนกัน   แกไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน  จะลูกหลานใครแกไม่เกี่ยว ผิดนักละก้อฟาดขวับ ๆ ลงไปทันที แล้วก็ไม่มีวันเสียล่ะที่อ้ายพวกหมา ๆ ทั้งหลายจะกล้าพกรอยไม้เรียวของแกไปรายงานที่บ้าน ขืนหลุดปากออกไปซี จะได้โดยเข้าอีกรอบปะไร  เผลอ ๆ อาจโดนหนักกว่าเก่าก็ได้... พวกผู้ใหญ่เขาดุกันจะตาย

เออ...แล้วใครเล่าหว่า! จะอยู่เฝ้าฝูงควาย...? ฉันใช้หัวคิด

“เฮ้ย! ไอ้แสง เอ็งไปหักก้านมังเครมาซิ” ว่าแล้วฉันก็ยักคิ้วให้ไอ้แสงอย่างรู้กัน “ใครจับได้ไม้สั้นต้องอยู่เลี้ยงควาย” ฉันพูดเสียงดัง

ต้นมังเครแถวนั้นมีอยู่เกลื่อนทุ่ง ใบของมันเรียวแหลม สีออกแดงเจือแสด มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ย ๆ ชอบขึ้นอยู่ตามชายป่าละเมาะ   และริมหนองน้ำ ลูกของมันกลมรีเท่าหัวแม่มือ เมื่อสุกจัดก็ปริบานแยกเป็นพูสีม่วงฉาบขาว รสชาติหวานปะแล่ม กินเข้าไปสักลูกสองลูกลิ้นจะกลายเป็นสีม่วงทำให้ผู้อื่นรู้ว่าแ อบไปกินลูกมังแครที่ชายทุ่งมาแล้ว

“ว้า- -กูอีกแล้ว!”

พี่จิตลากเสียงครางออกมาอย่างผิดหวัง ขณะทอดสายตามายังฉันคล้ายกับไม่เชื่อในโชคชะตาของตน  เมื่อแกดึงก้านมังเครสั้นจุ๊ดจู๋ขึ้นมาจากกำมือของไอ้แสง

คนที่เรียนหนังสือ 6 ปี 4 ชั้นอย่างพี่จิตมีหรือจะตามทันกลโกงของพวกเรา เพราะก้านไม้มังแครอันเปราะบางที่อยู่ในกำมือไอ้แสงนั้น คุณสมบัติพิเศษของมันก็คือ เมื่อหักออกเป็นสองท่อนเมื่อไหร่แล้ว ก็สามารถที่จะสวมกลับเข้ารอยเดิมได้อย่างแนบสนิท ไอ้แสงจะกำหนดให้ใครจับไม้สั้นไม้ยาวก็ได้... อยู่ที่กำให้แน่น หรือคลายออกให้หลวมแค่นั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ พี่เบิ้มของฉันก็จำต้องก้มหน้าดูแลฝูงควายแทนพวกเราที่กำลังจะไ ปเล่นน้ำ สนุกสนานกันอีกวันตามระเ บียบ

เมื่อนึกถึงความหลัง ฉันคิดว่า   แม้จะโกนเข้าวัดหัวบวชล้างบาปที่เคยทำไว้กับพี่จิตสัก กี่ครั้งกี่หน ก็จะไม่มีวันลบหาย เพราะทุกวันนี้คนซื่ออย่างพี่จิตฉันจะไปหาที่ไหน ตายแล้วเกิดใหม่สักสิบชาติก็หาไม่เจอ

วันนั้นพวกเราหลบแดดร้อนลงไปลอยคอแช่น้ำเล่นไอ้เข้ไอ้โขงอยู่ใน คลองอย่างผาสุข ในขณะที่พี่จิตต้องถือไม้เรียวเดินตากแดดอยู่ข้างฝูงควายจนเหงื ่อไหลไคลย้อย ครั้งหนึ่งฉันเหลือบเห็นแกแอบมายืนดูพวกเราอยู่บนตลิ่งด้วยใบหน ้ายิ้มแย้มอย่างพลอยมีสุขไปด้วย มันทำให้ฉันใจหายวาบขึ้นมาทันที

และก่อนที่เราจะชวนกันขึ้นมาจากลำคลองในวันนั้น ฉันได้ยินเสียงเครื่องบินบินหึ่ง ๆ มาทางทิศเหนือ ซึ่งปกติเวลาประมาณนั้นจะมีเพียงเครื่องบินพาณิชย์ที่บินจากกรุ งเทพฯไปลงที่สนามบินภูเก็ตเพียงลำเดียวที่บินผ่าน ทว่าก่อนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจว่าเครื่องบินลำที่ว่าบินผ่านไป หรือยัง หากแต่เสียงเครื่องบินที่กำลังบินตรงมาทางทิศเหนือในขณะนั้น รู้สึกว่าเสียงเครื่องยนต์ของมันออกจะดังผิดหู   จนทำให้ฉันค่อนข้างม ั่นใจว่าน่าจะไม่ใช่ลำเดียว

“มึงว่าเรือบินกี่ลำ?” ฉันทายปริศนากับพวกที่ลอยคอแช่น้ำและแหงนคอคอยมองอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งพวกมันตอบว่า "ลำเดียว” ครั้นเวลาล่วงไปสองสามอึดใจ เหนือน่านฟ้าด้านทิศเหนือที่เรากำลังแหงนคอมองอยู่นั้นปรากฏฝูง เครื่ องบินบินเกาะกลุ่มกันมา 5 ลำ ทั้งหมดบินสูงเทียมเมฆมุ่งหน้ามาทางเรา แล้วก็ผ่านเลยไปทางทิศใต้จนลับตาหายไปในเวลาอันรวดเร็ว  ซึ่งมันได้สร้างคำถามขึ้นในหัวใจของพวกเราทุกคน  เพราะหลังจากเลิกเล่นน้ำกันแล้วก็ยังคงถกเถียงจนเกือบจะไ ด้ฟาดปากกันหลายหน

“กูว่าเรือบินรบ"

ใครคนหนึ่งพยายามหาข้อสรุป แต่อีกคนกลับแย้งว่า

“ไม่ใช่... ถ้าเรือบินรบมันจะต้องห้อยระเบิดมาด้วย”

“แล้วมึงเสือกมองขึ้นไปเห็นหรือวะ? - -ไอ้เวร ถุย!”

“กูว่าน่าจะเป็นเรือบินในหลวง ลำที่บินอยู่ข้าง ๆ น่าจะเป็นเรือบินทหาร”

“เออ กูก็ว่าเหมือนกัน” เป็นครั้งแรกที่พี่จิตซึ่งยืนฟังพวกเราถกเถียงกันตาปริบ ๆ ด้วยความใคร่รู้พยักหน้าคล้อยตาม “โตขึ้นสองวัน กูจะขี่เรือบิน"

พี่จิตพูดพร้อมกับหันมองไปยังทิศทางที่เรือบินฝูงนั้นบินลับหาย ไปเมื่อสักครู่

“เฮ้ย! มึงนะหรือจะขี่เรือบิน?”

ไอ้ชนพูดพร้อมกับทำท่าล้อเลียน หากแต่ในที่สุดมันก็ชะงักและทำตาเหลือกอย่างตกอกตกใจ เมื่อพี่จิตหันกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกว่า"เอาเรื่อง" หมัดซ้าย-ขวากำแน่นไม่รั่วลม ตะคอกว่า

“เออ- กูไอ้จิตนี่แหละจะขี่เรือบินให้ได้ มึงคอยดู"

ทุกคนพากันหุบปากและยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นลูกพี่ของฉันมีท่าทีจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้แต่ฉันขณะนั้นก็จิตใจล่องลอยบอกไม่ถูก

หลังจากนั้นไม่นานฉันกับพี่จิตก็ต้องแยกจากกัน... และไม่ได้พบหน้าค่าตากันอีกเลย... เพราะหลังจากจบชั้นประถมปีที่ 4 แล้วพี่จิตก็ไม่ได้เรียนต่อชั้นประถมปลายเหมือนฉัน หากแต่แกได้ย้ายไปอยู่กับแม่ซึ่งเลิกร้างกับพ่อของแกมานานหลายป ี ที่บ้านกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง ซึ่งสุดแสนจะไกลลิบสำหรับความรู้สึกของฉันในขณะนั้น

ต่อเมื่อฉันอายุได้ 30 กว่า ๆ ฉันก็มีโอกาสได้ขี่เรือบินโดยไม่ได้คาดหวังเอาไว้เหมือนอย่างพี ่จิตคาดหวังอย่างจริงจังในวันนั้น แต่เป็นเพราะฉันมีธุระจำเป็นอย่างที่สุด... เป็นธุระของผู้อื่นที่ฉันแส่เข้าไปรับภาระชนิดเนื้อไม่ได้กินหน ังไม่ได้รองนอน หากแต่เอากระดูกมาแขวนคอ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมีญาติห่าง ๆ ของแฟนมาติดต่อขอร้องให้ช่วยเป็นธุระจัดการขายที่ดินของเขาที่อ ยู่ติดถนนสายเอเชียซึ่งเป็นถนนสายหลักมูลค่ากว่ายี่สิบล้านบาทใ ห้เขา

อ้ายฉันก็ไม่ได้คิดที่จะกินเศษกินเลย หรือหวังค่านายหน้าเข้าพกเข้าห่อแต่อย่างใด แต่เมื่อได้ตัดสินใจรับปากช่วยเขาแล้วก็บอกไปว่า ถ้าหากฉันจัดการได้สำเร็จก็ขอให้ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายในการวิ่งเ ต้นทำธุระซึ่งฉันได้ทดรองจ่ายไปก่อนแล้วให้ฉันด้วย ...

ก็เท่านั้น!

แต่ครั้นพอเสร็จงาน ฉันก็ถูกถีบหัวส่ง นอกจากจะไม่ได้สักสตางค์แดงเดียวแล้ว พบหน้าก็ไม่ใคร่จะพูดจาทักทายกันเหมือนแต่ก่อน หรืออาจบางทีพวกเขาคงกลัวว่าฉันจะรื้อฟื้นบุญคุณขึ้นมาหรือเปล่ าก็ไม่รู้ ฉันไม่แน่ใจ

คุณหมอเพื่อของฉันซึ่งเป็นผู้ประสานงานระหว่างฉันกับนิติกรของบ ริษัทจัดซื้อที่กรุงเทพฯ ก็ได้ตักเตือนฉันด้วยความหวังดีไว้ก่อนแล้ว   ว่าควรที่ฉันจะต้องทำสัญญานายหน้าให้ถูกต้องตามระเบียบ&a mp;n bsp; ก่อนที่กระบวนการซื้อขายที่ดินแปลงนี้จะบรรลุเป้าหมายและ สิ้นสุดลง... น่าเกลียด ! ฉันว่า...ญาติ ๆ กันทั้งนั้น คุณหมอก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ว่ากระไร ทว่าเมื่อรู้ข่าวตอนหลังก็ถึงกับหน้าเสียด้วยความตกใจ

"ก็ผมเตือนคุณแล้ว เงินน่ะไม่เข้าใครออกใครคุณก็ไม่ฟัง”

ท่านตำหนิฉันอย่างน้อยใจ ส่วนฉันถึงแม้จะสงสัยว่าคุณหมอจะได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาจากบริษัทผู ้ซ ื้อไปเท่าไหร่ ก็ไม่กล้ารบกวนถาม   เพราะจะเป็นการละลาบละล้วง ฉันเพียงแต่ปลงเสียว่า    ดีเสียอีก... ถึงแม้ไม่ได้เงินแต่ก็ได้มีโอกาสขี่เรือบิน เพราะ ถ้าเป็นธุระอื่น ขืนรีบเร่งถึงขนาดนั้นแฟนของฉันบ่นตายเลย

เรือบินลำที่ฉันโดยสารไปทำธุระเร่งด่วนตามคำร้องขอของฝ่ายนิติก รของบริษัทที่กรุงเทพฯในวันนั้น บินขึ้นจากสนามบินสุราษฎร์ธานี เวลา 12.30 น. บินเลียบชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันออก    คือ ฝั่งอ่าวไทย   ขึ้นไปทางทิศเหนือ ฉันนั่งติดช่องหน้าต่างด้านซ้ายมือ เมื่อทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างก็แลเห็นผืนน้ำทะเลแบ่งสีสันกัน อย่างชัดเจน บอกให้รู้ถึงตำแหน่งตื้นลึกของท้องทะเลได้อย่างดี... เพราะสีของมันมีความเข้มข้นต่างกัน ทำให้เราแยกแยะได้

ครั้นบริกรสาวเข็นรถสัมภาระคันเล็ก ๆ แลดูน่ารักทั้งรถทั้งคนออกมาให้บริการแก่ลูกค้าตามหน้าที่ผ่านไ ปรอบแรก... ฉันก็รับเอากล่องอาหารที่เธอยื่นส่งให้พร้อมกระพุ่มมือสวัสดีค่ ะ  ยัดใส่ตะกร้าที่แลดูคล้ายอวนดักปลาซึ่งแขวนอยู่หลังพนักพิงตัวห น้า เสร็จแล้วก็ทอดสายตาชมทิศทัศน์ในมุมสูงอีกรอบตามประสาคนไม่เคยข ี่เรือบิน

"โตขึ้นสองวันกูจะขี่เรือบิน”

สำเนียงซื่อ ๆ ของเด็กชายชาวนาผู้กำยำล่ำสันคนนั้นดังแว่วขึ้นสองข้างหู ทำให้ฉันอดที่จะทอดสายตามองออกไปไกลจนสุดขอบฟ้าทิศตะวันตกเสียม ิได้ หากแต่ตอนนั้นสายตาเริ่มพล่าเลือนด้วยม่านน้ำตา ซึ่งค่อนข้างนานกว่าหักใจได้

และเมื่อมองจากมุมสูงในระดับเพดานบินของเครื่องบินโดยสารลำนั้น ถัดจากฝั่งทะเลอ่าวไทยไปทางซ้ายมือ พื้นดินข้างล่างมีทั้งสีเขียวเข้มและเขียวอ่อน กระทั่งสีเหลืองไล่เฉดไปจนเข้มเกือบจะเป็นน้ำตาลอ่อนก็มี แลเห็นเด่นชัดอยู่เป็นหย่อม ๆ ซึ่งฉันพอจะคาดเดาได้ว่านั่นคือ บิ้งนา นั่นคือสวนยาง ส่วนที่เป็นจุดกลม ๆ สีเขียวเข้มเท่าหัวไม้ขีด และเรียงกันอยู่เป็นแถวเป็นแนวก็น่าจะเป็นสวนมะพร้าวหรือไม่ก็ป าล์มน้ำมัน...ฉันไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกเสียดายที่เรือบินบินเลียบไปทางฝั่งนี้ ถ้าเป็นฝั่งอันดามันละก้อ... โน่นไงล่ะเทือกเขาภูเก็ต ท้องนาฝั่งภูเขาฝั่งนู้น.. ก็บ้านย่าฉัน จึงให้รู้สึกเสียดายที่สายตามองลงไปไม่เห็น แม้ว่าใจมันเห็น และเห็นไกลไปถึงอดีตครั้งขี่หลังควายแหงนมองเรือบินบินข้ามหัวอ ยู่ตามท้องนา...

เคยนึกว่ามันจะโคลงเคลงไปมาจนทำให้ต้องโก้งโค้งออกไปคายของเก่า เหมือนกับตอนที่นั่งเรือแจวของพ่อออกทะเลไหมหนอ?

ค่าตั๋วคงแพงน่าดู...? ชาตินี้เราจะมีปัญญาไหม...?

ทุกข้อสงสัยล้วนแต่โจทย์ที่ไม่อาจเฉลยคำตอบทั้งสิ้น!

เช่นเดียวกับหลายคำถามที่กรีดน้ำตาของฉันให้เอ่อท้นขอบตากระทั่ งรินไหลลงมาเป็นทางขณะนั่งอยู่บนเรือบินในวันนั้น ซึ่งเป็นวันที่ฉันก็ไม่อาจค้นหาคำตอบได้อีกเช่นกัน

พี่จิต... พี่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า....?

พี่ได้ขี่เรือบินสมปรารถนาแล้วหรือยัง ?

พี่จิตครับ ไอ้ไข่นุ้ยของพี่ได้ขี่เรือบินแล้วครับ พี่ดีใจไหม?

จนในที่สุดฉันต้องล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับน้ำ ตาอย่างไม่อาย เมื่อฉันหลับตาเห็นภาพพี่จิตกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ในวันที่คุณครูประกาศผลการสอบหน้าเสาธง ในตอนบ่ายของวันประกาศปิดภาคภาคเรียน ตอนฉันอยู่ชั้น ป.4

" เด็กชายไข่นุ้ย สอบได้ที่ 1 และได้ทุนเรียนต่อ ป.ปลายจากท่านศึกษาธิการอำเภอปีละ 200 บาท เอ้าปรบให้หน่อย..."

“ไชโย ไชโย ไชโย”

ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้นเกรียวกราว พี่จิตกระโดดเข้ามาอุ้มฉันแล้วยกชูขึ้นบ่าพาวิ่งวนไปรอบ ๆ เสาธงสามสี่รอบ ด้วยความดีอกดีใจ ก่อนที่คุณครูจะให้โอวาทและปล่อยให้นักเรียนทุกคนกลับบ้าน กลับไปเตรียมตัวต่อสู้กับอนาคตข้างหน้าซึ่งมันแสนจะโลเลและตลบต ะแลงยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ

Edited by เฒ่านุ้ย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Desenvolvido por EMPORIUM DIGITAL