วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

หางวาตภัย

สมัยเด็ก ๆ  ฉันค่อนข้างหัวรั้นและเอาแต่ใจตนเอง เมื่อถูกใครเขาดุด่าก็มักจะน้อยอกน้อยใจจนหน้าคว่ำหน้างอราวกับ เด็กผู้หญิง  โดยเฉพาะกับพ่อ เพราะคิดว่าพ่อรักน้องสาวมากกว่า   ทั้ง ๆ ที่พ่อเป็นคนใจดี รักครอบครัวและญาติมิตรเป็นที่หนึ่ง
ต่อเมื่อฉันเติบโตและได้ย้อนกลับไปคิดใคร่ครวญเสียใหม่  ก็พบว่า  นอกจากพ่อจะเป็นคนที่มีน้ำจิตน้ำใจสำหรับทุก ๆ คนแล้ว พ่อของฉันก็ยังเป็นคนร่าเริง  อ่อนไหว  รักและชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ   ซึ่งประจักษ์แก่ฉันมาแล้วเมื่อครั้งอดีตที่ฉันยังเยาว์ ์วัย    และฉันยังจำไม่ลืม

       ในสมัยนั้นเมื่อมีง านลงแขกเก็บเกี่ยวข้าวในไร่นา   พอเสร็จจากงานพ่อกับเพื่อน ๆ ก็มักจะตั้งวงดื่มน้ำขาวสนุกสนานเฮฮาแก้เหนื่อยกันเป็นประจำ

   อันว่าน้ำขาว หรือกระแช่ นั้น พ่อของฉันหมักขึ้นเองด้วยน้ำหวานของต้นชกกับเปลือกไม้เคี่ยม ซึ่งได้มาจากป่า 

               หมักไว้เป็นโอ่ง  ไม่ขาดบ้าน  สรรพคุณก็เลื่องลือ...

ทุกครั้งที่พวกเขาตั้งวงน้ำขาว   เมื่อดีกรีของมันออกฤทธิ์ได้ที่ก็มักจะชวนกันขับร้องฟ้อนรำเพลงรองแง็ง หรือไม่ก็ขับบทลิเกป่า   ตีรำมะนา   ตีทับ   เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง

         “ตันย่ง ตันย้ง กำปงลาน้อง เจ้าชู้ดอกแก้ว
ถ้าน้องไม่รักพี่บังแล้ว พี่บังไม่แคล้วต้องกินยาตาย...(สร้อย)
บังหลับตาไม่ลง พะวักพะวง ใจคว่ำ ใจหาย

พี่บังไม่แคล้วกินยาตาย ถ้าไม่ได้น้องสาวมาทำเมีย...(สร้อย)

เพื่อนของพ่อ ชื่อ ตาหนวง เมื่อถูกดีกรีน้ำขาวแผลงฤทธิ์  ก็จะต้องลุกขึ้นรำป้อเสียทุกที   ตัวแกเล็กนิดเดียว  แต่ท่ารำอ่อนช้อยเข้าจังหวะ  ปากก็ขับสร้อยรองเง็ง...
         “หน่อยนอย นอยน้อย นอยน้อย น้อยนอย น้อยนอย นอยน้อย..”
ฉิ่ง ทับ รำมะนา ของพวกลูกคู่ก็บรรเลง ฉิ่งปับ  ฉิ่งปับ  ๆ ให้จังหวะเร่าร้อนจนฉันนึกอยากจะกระโดดออกไปเต้นกับเขาบ้าง

น้องสาวของฉันชอบนั่งดูพวกเขาร้องรำทำเพลง  ตอนนั้นเ ธอเพิ่งหัดพูด  เพิ่งออกเสียงได้แค่พยางค์ สองพยางค์
           “ตาหนวง รำ ตาหนวง รำ”  เธอชี้ไปที่ตาหนวง แล้วหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

พ่อของฉันทั้งร้องทั้งรำเข้ายาหมดทุกขนาน ส่วนเรื่องดนตรีพ่อจะชอบปี่และขลุ่ยเป็นพิเศษ ถึงกับลงทุน ขุด เจาะ ด้วยตนเอง เลาไหนเสียงดีพ่อก็จะเก็บไว้  อันไหนเสียงเพี้ยนไปหน่อยใครมาขอพ่อก็ให้เขาไป “ให้มือสมัครเล่นเอาไปฝึก...” พ่อไม่เสียดาย
คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่เหนือผืนไร่ด้านทิศตะวันออก แม่พาน้องสาวเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ส่วนฉันกับพ่อนั่งชมจันทร์กันอยู่ที่นอกชาน พ่อเป่าขลุ่ยส่งเสียงกังวานไปทั่วทั้งผืนป่า น้ำค้างพร่างพรม หิ่งห้อยกระพริบแสงแข่งจันทรระยิบระยับอยู่รอบบ้าน...

ฉันเพลินนั่งชมความงามรอบกาย  เคล้าคลอเสียงขลุ่ยของพ่อจนเคลิบเคลิ้มง่วงหาว... จึงค่อย ๆ กระเถิบคลานเข้าไปหนุนตักพ่อนอน

บนท้องฟ้าดวงดาวเปล่งแสงระยิบระยับแข่งกับดวงพระจันทร์ ลมเย็น ๆ พัดมาเอื่อย มาลูบไล้ผิวกายคนผอมแห้งอย่างฉันบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ และเมื่อได้ยินเสียงสัตว์ป่าออกมาคำรามร้องอยู่ใกล้ ๆ สอดแทรกเสียงขลุ่ยของพ่อขึ้นมา ฉันก็รู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
พ่อถอนขลุ่ยออกจากปาก เหมือนกับจะรู้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดกลัว  “เสียงมูสังแปลงน่ะลูก ตัวมันเล็กกว่าไอ้เบี้ยวที่ใต้ถุนเสียอีก  เพียงแต่เสียงมันใหญ่เหมือนเสือ ลูกไม่ต้องกลัวมัน”
พอได้ยินพ่อเอ่ยถึงไอ้เบี้ยว  หมาซึ่งนอนเป็นยามระแวดระวังภัยอยู่ที่ใต้ถุนเรือน ฉันจึงค่อยอุ่นใจและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว... แต่สักพักก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกอกตกใจ เมื่อรู้สึกว่าหัวของฉันไม่ได้หนุนตักพ่ออยู่ อีกทั้งยังได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกพ่อด้วยความตื่นตระหนกอยู่ใก ล้ ๆ ผสานกับเสียงเห่ากระโชกของไอ้เบี้ยวที่ดังมาจากริมไร่หน้าบ้านร าวกับจะกินเลือดกินเนื้อใครสักคน
เมื่อฉันหายงัวเงียและลืมตาขึ้นมา  ก็พบว่าตัวเองยังคงนอนตากน้ำค้างพร่างหนาวอยู่ที่เดิม  ส่วนพ่อนั้นฉันเห็นแม่กำลังประคองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอายาลมละลายน้ำใส่ ช้อนเขียวกรอกปากให้กิน พลางร้องตะโกนเรียกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ให้รีบมาช่วยกัน
           “วู้.... ลุงอิน ลุงอิน... ลุงทอง บ่าวรุ่ม วู้...ช้างเถื่อนเข้าไร่ฉันแล้ว มาช่วยกันเร็ว เร็ว”
ฉันลุกขึ้นนั่งและเหวี่ยงสายตาไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นผืนไร่ข องเรา... ท่ามกลางแสงจันทร์และหมู่ดาวที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า ที่ริมขอบไร่อันกว้างลิบติดกับแนวป่าหน้าบ้านของเรา ฉันเห็นโขลงช้างป่านับสิบเชือกกำลังเหยียบย่ำและหักกินพืชไร่กั นอย่างเมามัน ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่   มองเห็นชัดเจนไปแต่ไกล ครั้นพอพวกมันได้ยินเสียงโห่ไล่จากเพื่อนบ้านของเราดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงปืนแก๊ปที่ส่องขึ้นฟ้า โป้ง ป้าง อีกสามสี่นัดพวกมันก็พากันล่าถอยเข้าป่าลึกไป
ตาอิน ตาทอง ยายเขียว ตารุ่ม แห่ตามหลังกันมาที่บ้านของเรา   เว้นแต่ยายเขียวคนเดียวที่ถือมีดพร้า นอกนั้นถือปืนแก๊ปกันมาทุกคน เมื่อได้เห็นอาวุธปืนป้องกันภัย พร้อมกับได้เห็นหน้าค่าตาของเพื่อนบ้านที่ยกทีมมาช่วยกันอย่างพ ร้อมเพรียง ก็ทำให้ฉันฝืนยิ้มออกมาได้  ไอ้ที่กลัวจนตัวสั่นอยู่เมื่อครู่ก็ค่อย ๆ ทุเลาหายไป

“ฉันกำลังนอนให้ลูกสาวกินนมอยู่ ได้ยินเสียงพี่ร้องโห่ไล่ช้างเฮ้ว ๆ ขึ้นสองสามครั้ง แล้วเงียบไป  เลยลุกออกมาดู ... ท่าจะแผดเสียงมากไป”  แม่พูดให้เพื่อนบ้านฟัง หลังจากยกเชี่ยนหมากกับยาเส้น และน้ำเย็นในโอ่งออกมาต้อนรับอีกขันหนึ่ง... พ่อนั่งดมยาดมอยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่ากระไร
ตาทองหันมาล้อฉันว่า “พ่อเอ็งโห่ช้างจนเป็นลม เอ็งกลับไม่ตื่น ระวังไว้นะ นอนเซาแบบนี้ มูสังจะย่องมากัดเจี๊ยวเข้าสักวัน”

ตอนนั้นฉันอายุ 6 ขวบ ยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน ยังอาศัยอยู่กับพ่อที่เรือนไม้กลางป่าใหญ่ นาน ๆ พ่อจะพาฉันออกไปเที่ยวบ้านย่า และพาไปหาซื้อขนมอร่อย ๆ จากร้านค้าแถวนั้นให้ฉันกินสักครั้ง พ่อบอกว่าเมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียนฉันก็จำเป็นจะต้องไปอาศัยอยู ่กับย่า กับปู่ และอาสาว ซึ่งบ้านของท่านอยู่ใกล้โรงเรียน...
ฉันคิดถึงวันนั้น ซึ่งมันกำลังจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า ความเงียบเหงาวังเวงก็คืบคลานเข้ามาเกาะกุมหัวใจของฉันทันที
ฉันอยากอยู่กับพ่อที่บ้านไร่ ไม่อยากจากไปไหนเลย

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2505 วันมหาวิปโยค เกิดมหาวาตภัยขึ้นที่แหลมตะลุมพุก…
พ่อของฉันออกไปธุระที่ตลาดตะกั่วป่าตั้งแต่เช้า กระทั่งเย็นย่ำนกกาเพรียกร้องหารังพ่อก็ยังไม่กลับมา... เราสามคนแม่ลูก แม่ ฉัน และน้องสาว นั่งรอพ่ออยู่ที่หัวกระไดนอกชาน ขณะที่เมฆฝนบนฟ้ากำลังก่อตัวมืดครึ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ ทั่วทุกสารทิศนอกจากเสียงนกกาที่บินร้องกลับรังก็ไม่มีเสียงอื่ นสอดแทรกมาให้ได้ยิน
มันเป็นความสงบเงียบที่น่าสะพรึงกลัว  ราวกับลางสังหรณ์
แม่ของฉันนั่งน้ำตาเอ่อคลอจนฉันนึกแปลกใจ...
         “แม่ร้องไห้ทำไม?”  ฉันใจไม่ดี
แม่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
          “พ่อ ?”
            “พ่อยังไม่เสร็จธุระ”  แม่ปลอบใจฉัน  “เราเข้าไปนั่งรอพ่ออยู่ข้างในบ้านกันดีกว่า...”
แม่อุ้มน้องสาวเดินลอดประตูเข้าไปข้างใน ฉันถือมีดพร้าด้ามเล็ก ๆ เดินตามไปติด ๆ
ภายในบ้านมืดขมุกขมัว แม่หยิบตะเกียงน้ำมันก๊าดที่วางอยู่ตรงชายฝาหัวนอนมาวางไว้กลาง บ้าน  แล้วก็เอาเหล็กไฟตัวเล็ก ๆ ประจำบ้านเปิดฝาครอบติดไฟจะจุดตะเกียง ทว่ากระแสลมที่เริ่มแผ้วพานเล็ดลอดขึ้นมาตามร่องฟาก กระพือพัดเปลวไฟจากไส้เหล็กไฟในมือของแม่ดับวูบลง
แม้ว่าแม่จะใช้ความพยายามเอานิ้วหัวแม่มือดีดวงล้อกรีดถ่านเหล็ กไฟตัวนั้นสักกี่ครั้ง ๆ ก็มีแต่ประกายไฟซึ่งเกิดจากถ่านเหล็กไฟเท่านั้นที่พุ่งเป็นยวงย าวออกมา  แต่สำหรับด้ายชนวนเหล็กไฟก็มิปรากฏเปลวเพลิงขึ้นมาสักที  ทำให้เราสามคนแม่ลูกต้องทนนั่งอกสั่นขวัญแขวนท่ามกลงความมืดขมุ กขมัวด้วยความจำยอม กระทั่งกระแสลมที่พัดลอดซี่ฟากขึ้นมาจากใต้ถุนได้เพิ่มพลังแรงข ึ้น ลิงกังที่พ่อล่ามโซ่ไว้หลวม ๆ   เพื่อให้มันกระโดดโลดเต้นไปไหนได้สะดวกที่ต้นพลาข้างบ้าน ส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ
          “หู ร้อง แม่ หู ร้อง”  น้องสาวของฉันรักลิงกังตัวนี้มาก
           “อย่าส่งเสียงลูก อย่าส่งเสียง”
แม่คงจะหวั่นวิตกกับความวิปริตแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศในยามน ี้จนสุดขีด แม่จึงโอบกอดฉันและน้องสาวเข้าไปซุกแนบไว้กับอกของแม่อย่างแนบแ น่น
ฉันชำเลืองสายตาไปที่ประตูซึ่งยังเปิดแง้มรอพ่ออยู่  ผ่านวงแขนของแม่ข้างที่โอบกอดฉันไว้...
ข้างนอกท้องฟ้าแดงก่ำเป็นสีเลือด เสียงหวีดหวิวของพายุดังกึกก้องกัมปนาทราวกับแผ่นฟ้าผืนดินจะถล ่มทลาย เรือนไม้ของเราไหวยวบและเอนไปตามแรงกระแทกของกระแสลมที่พัดกระหน่ำลงมา และทันใดนั้นเอง  ฉันก็ได้ยินเสียงไม้ใหญ่ในราวป่าหักโค่น และล้มฟาดลงกับพื้นเสียงโครมครืน
ลิงหูบนต้นพลาข้างบ้านหวีดร้องเสียงแหลมราวกับจะขอความช่วยเหลือ
แต่... ถ้าพ่ออยู่ด้วย... น้ำตาของฉันเอ่อคลอเพราะนึกสงสารมัน
เมื่อพายุพัดถล่มสิ่งกีดขวางโค่นล้มระเนระนาดระลอกแรกผ่านไปแล ้ว ไม่นานระลอกที่สองก็ตามมาพร้อมกับเม็ดฝน   มันพัดกระหน่ำลงบนหลังคาจากบ้านเราเสียงโครม ๆ ราวกับจะบดขยี้ให้แหลกลาญ   เคราะห์ดีที่พ่อเอาลำไม้ไผ่วางทับไว้ถี่ยิบ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็คงจะพังทลายหลังคาของเราจนโล่งเตียนไปแล้ว

เสียพายุพัดอื้ออึง ทั้งฟ้าทั้งฝนโหมกระหน่ำติดต่อกันราวสามชั่วโมงก็ค่อยซาลง แม่จึงจุดตะเกียงได้สำเร็จ และในขณะเดียวกัน หูของฉันก็พลันได้ยินเสียงโว้ยว้ายโวยวาย  เหมือนภูตผีปีศาจกำลังผุดขึ้นจากหลุม ดังแว่วมาจากทิศทางบ้านตาอินกับ ตาทอง ทำให้ฉันซึ่งเป็นคนขี้ตื่นตกใจต้องหันไปมองหน้าแม่ แต่แม่กลับยิ้มเฉย
สักครู่ คนสามสี่คนก็ถือคบเพลิงแดงโร่เดินเรียงแถวมายังบ้านของเราด้วยส ภาพที่ย่ำแย่    เสื้อผ้าเปียกปอนและฉีกขาด บางคนมีแผลถลอกปอกเปิดตามเนื้อตัว คิ้วคางฟกมอ และปูดโปนเหมือนเอาผลมะกรูดลูกกลม ๆ แปะติดไว้
ตาอิน ถือคบเพลิงโขยกเขยกขึ้นกระไดเรือนผ่านนอกชานเข้ามานั่งในบ้านขอ งเราเป็นคนแรก แกพูดกับแม่ว่า “บ้านของมึงโชคดีที่มีแนวไผ่กั้นไว้ ช่วยต้านลม... บ้านของกูโล่งเตียนไม่มีอะไรเป็นเกราะกำบัง เลยโดนมันพังฉิบหายหมด” 
พ่อกลับมาถึงบ้านในสภาพของคนที่เพิ่งรอดตายภายหลังพายุพัดสงบได ้ไม่นาน ทุกคนยังนั่งกินหมากและสูบยาใบจากรอพ่ออยู่ รวมถึงฉันด้วย นั่งฟังเขากล่าวขวัญกันถึงเหตุร้ายที่เพิ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ  แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาจะพูดถึงมันด้วยความตลกขบขันมากกว่าความหว าดกลัว ทำให้ฉันยังรู้สึกงุนงงอยู่จนทุกวันนี้

ก่อนหน้านั้น แม่เอาผ้าถุงกับเสื้อของแม่ให้ยายเขียวผลัดเปลี่ยน ส่วนคนอื่นก็อาศัยผ้าโสร่งและผ้าขาวม้าของพ่อประทังกายกันไปพลา ง ๆ
พ่อกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกปอนและเปรอะเปื้อนขาดวิ่นไปท ั่วทั้งตัว ตามนิ้วมือนิ้วเท้า และแขนขาปรากฏร่องรอยของมีคมกรีดบาดจนเป็นแผลลึกถลอกเลือดไหลซึ ม คิ้ว คาง ฟกนูนเหมือนกับ ตาทอง ยายเขียว ส่วนข้าวของที่เคยถือติดมือกลับบ้านไม่เคยขาด  พ่อบอกทุกคนว่า  "เที่ยวนี้เหลือแต่ตัวเว้ย... พรรคพวก" 

เมื่อพ้นบันไดและผ่านนอกชานเข้ามาถึงข้างในด้วยสถาพิดโรย  พ่อถามแม่คำแรกว่า
          “ลูก ๆ ตกอกตกใจกันมากไหม?”
           “ไม่”   แม่สั่นหัว “ฉันกอดไว้แน่นทั้งสองคน... ลูกสาวหลับไปนานแล้ว”
พ่อเอามืออันเย็นเฉียบด้วยพิษหนาวเอื้อมมาลูบหัวฉันทีหนึ่ง แล้วเดินเลี่ยงไปหาน้องสาวที่นอนหลับอยู่ข้างใน สักพักฉันจึงได้ยินเสียงพ่อสะอื้นไห้
         “นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันแล้วลูกเอ๋ย”

พ่อเล่าว่า หลังกลับจากตะกั่วป่ามาทางทะเล พอก้าวขึ้นจากลำเรือที่ท่าน้ำบ้านย่า และเอาของฝากที่ซื้อมาฝากปู่กับย่าให้ไว้กับอาสาวแล้ว พ่อก็หิ้วข้าวของสามสี่อย่างที่ตั้งใจซื้อติดมือกลับบ้าน มุ่งหน้าเดินมาอย่างรีบเร่ง ระหว่างทางเมื่อเกิดพายุพัดกระหน่ำ   ต้นไม้หักโค่นลงขวางหน้า   ก็ทำให้ไม่กล้าที่จะฝืนเดินอีกต่อไป จึงได้แอบเข้าไปนั่งหลบอยู่บนขอนไม้ข้างกอไผ่ริมทาง ซึ่งคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว กระทั่งพายุระลอกสองหอบเอาเม็ดฝนฟาดกระหน่ำลงมาอีกครั้งอย่างรุ นแรง ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในก็หักโค่นลงมา ส่วนปลายของมันเหวี่ยงฟาดลงบนกอไผ่กอนั้นแบนราบ และสุมพ่อติดอยู่ข้างใน
          “มืดก็มืด กลัวก็กลัว“  พ่อว่า “ คลำหาทางออกสะเปะสะปะจนเข่าอ่อนกว่าจะหลุดออกมาได้ ข้าวของหลุดมือหาไม่เจอเลยสักชิ้น... เฮ้อ ไม่ตายก็บุญแล้ว”  พ่อหัวเราะทั้ง ๆ ที่ปากบวบเจ่อเหมือนโดนผึ้งต่อย
เหตุการณ์พายุโซนร้อนแฮเลียตพัดถล่มแหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช และฟาดหัวฟาดหางไปถึงบ้านไร่ของฉันที่จังหวัดพังงาในครั้งนั้น ได้สร้างความสูญเสียให้กับพ่อแม่พี่น้องทางภาคใต้ในโซนนั้นอย่า งใหญ่หลวง หลายร้อยชีวิตต้องสูญสิ้นไปกับความบ้าคลั่งของมัน และอีกหลายๆชีวิตที่รอดตายก็ต้องพบกับความสูญเสีย... บางคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องสูญเสียญาติมิตร พ่อ แม่ ลูกเมีย ทรัพย์สิน บ้านเรือน เรือแพ เครื่องมือหากิน บางคนต้องสูญเสียอนาคต เพราะไร้ที่พักพิง... ซึ่งฉันเชื่อว่าหลายชีวิตที่รอดมาได้ และยังมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงบัดนี้ ก็คงจะยังจดจำเหตุร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในวันนั้นกันได ้อย่างมิอาจลืมเลือน
ส่วนพ่อของฉันก็เกือบจะสูญเสียชีวิต   ด้วยการที่ไม้ใหญ่ริมทางเดินหักโค่นลงมาสุมทับจนถลอกปอกเปิดไปหมดทั้งตัว แต่ท่านก็ยังพูดติดตลกตามแบบฉบับของท่านในภายหลังว่า
            “ตอนที่ถูกต้นไม้โค่นลงมาสุมทับจนข้าวของเสียหาย... อย่างอื่นไม่นึกเสียดายเท่าวิทยุทรานซิสเตอร์ เพราะตั้งใจจะซื้อมาฟังข่าว นี่ถ้าซื้อมาไวกว่านี้สักวันสองวัน บางทีเราก็อาจจะรู้ข่าวของมันเสียก่อนก็ได้ เฮ้อ ไม่น่าเลย”

Edited by เฒ่านุ้ย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Desenvolvido por EMPORIUM DIGITAL